IFRS + AEC กับอนาคตนักบัญชีไทย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมมีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาประจำปีของบริษัท Pricewaterhousecoopers เรื่องการพัฒนาการรายงานการเงินประจำปี 2009 ที่โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพฯ ประเด็นสำคัญในการสัมมนาในครั้งนี้คือ update ว่าขณะนี้ สภาวิชาชีพบัญชี มีความคืบหน้าในการปรับปรุงและมีความพร้อมเพียงใดในการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชีไทย Thai Generally Accepted Accounting Principle หรือ ที่เรียกว่า Thai GAAP มาเป็น มาตรฐานสากล หรือที่เรียกว่า International Financial Reporting Standard IFRS เพื่อให้มาตรฐานบัญชีทุกอย่างรวมกันเป็นมาตรฐานเดียวทั่วโลก ซึ่งบางประเทศได้นำมาตรฐานนี้ไปใช้แล้ว เช่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กำหนดให้ทุกบริษัทต้องทำงบการเงินตาม IFRS ตั้งแต่ปี 2005

ในส่วนของประเทศไทยนั้น เราคงจะหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการลงบัญชีสากลใหม่นี้ได้ยาก เนื่องจากเรายังต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศ และยังต้องแสดงให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นว่า ประเทศไทยมีการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่มาตรฐานเดียวกันกับหลักมาตรฐานสากลของโลก ซึ่งการที่ประเทศไทยจะนำมาตรฐานการลงบัญชีสากลใหม่นี้มาปฏิบัติสามารถเลือกทำได้ 2 วิธีคือ
1. ประกาศรับ IFRS เพื่อนำไปปฏิบัติเป็นมาตรฐานการบัญชี(Adoption approach)
2. พัฒนามาตรฐานการบัญชีของไทยให้มีรายละเอียดที่ครอบคลุม ลดความแตกต่างและทำให้สอดคล้องกับมาตรฐาน IFRS (Convergence approach) อย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นลำดับและต่อเนื่อง

ทางสภาวิชาชีพบัญชีได้กำหนดให้บริษัทไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะต้องนำมาตรฐานฉบับใหม่นี้มาใช้ในปี 2011 และ 2013 ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นความกังวลใจของนักบัญชีไทยในปัจจุบันมิใช่น้อยที่จะต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมกับความท้าทายครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ สำหรับบริษัทที่ผมทำงานในปัจจุบันได้ adopt IFRS มาใช้เป็นที่เรียบร้อยในบางส่วน เพราะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงค์โปร์

ประกอบกับ เหลืออีกแค่เพียง 6 ปี สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่รู้จักกันในนามอาเซียน จะเดินทางไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) ในปี 2015 ที่ชาติ สมาชิกทั้ง 10 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม พม่า กัมพูชา และลาว ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 550 ล้านคน จะรวมตัวกลายเป็นฐานตลาดเดียวกันทั้งสินค้า แรงงาน บริการ การลงทุน รวมถึงงานด้านบัญชีการเงินด้วย สามารถที่จะเคลื่อนย้ายระหว่างกันได้อย่างเสรี หมายถึงคนในประเทศอาเซียนสามารถเข้าไปทำงานในประเทศสมาชิกอาเซียนได้อย่างคล่องตัว

ผมฟังการสัมมนาในครั้งนี้ด้วยความกังวลใจอยู่ไม่น้อย ว่าเราจะผ่านก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้ได้ดีเพียงไร เพราะพื้นฐานความพร้อมของบุคลากรในประเทศของเรา โดยเฉพาะนักศึกษาอนาคตชาติในปัจจุบัน จะสามารถต้านทานศักยภาพของคนในอาเซียนโดยเฉพาะ สิงค์โปร์ มาเลเซีย หรือแม้กระทั่งกัมพูชาได้อย่างไร

ทำไม ผมถึงกล่าวถึงกัมพูชา เพราะผมเคยมีประสบการณ์สัมผัสโดยตรง ขณะที่ทำงานอยู่ บริษัท Bristal Myer Squibb ประมาณ 7 ปีแล้ว ในตำแหน่ง Business Analyst นักวิเคราะห์ธุรกิจ บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจในประเทศกัมพูชา บริษัทฯ ก็ส่งผมกับทีมงานของบริษัท Deloitte เข้าไปศึกษาช่องทางธุรกิจในเมืองพนมเปญกับเมืองเสียมเรียบ โดยจ้างนักศึกษามาเป็นล่ามเพื่อช่วยเหลือเวลาสนธนากับนักธุรกิจชาวกัมพูชา เชื่อไหมว่าผมทึ่งกับศักยภาพของนักศึกษาที่มาเป็นล่ามให้ผมมาก เขาพูดได้ถึง 5 ภาษา ได้แก่
1. ภาษาเขมร okay เพราะเป็นภาษาประจำชาติ
2. ภาษาจีน okay เพราะครอบครัวเขาเป็นคนจีน
3. ภาษาไทย พูดได้ดีและคล่องแคล้ว เพราะ เขาดูโทรทัศน์ ข่าวสาร ต่าง ๆ จาก โทรทัศน์ของไทย
4. ภาษาฝรั่งเศส เพราะ ประเทศกัมพูชาเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส หลักสูตรการเรียนการสอนของเขาจำเป็นต้องมีภาษาฝรั่งเศสด้วย
5. ภาษาอังกฤษ เพราะ เป็นภาคบังคับในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยที่เขากำลังเรียนอยู่

ตอนนี้ไทยเรามีปัญหากับประเทศกัมพูชา ผมสังเกตเห็นจากข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ นักวิชาการระดับครูบาอาจารย์ออกมาแสดงความเห็นเชิงลบโดยไม่แคร์ คิดว่าประเทศกัมพูชา เป็นประเทศเล็กไม่มีศักยภาพ ใด ๆ ที่สู้กับประเทศไทยได้ อย่าประมาณไปนะครับ กัมพูชาอาจจะเป็นเหมือนประเทศสิงคโปร์ก็ได้ใครจะรู้ แต่ประเทศไทยหละ ผมว่าเรามีแต่ถอยหลังลงคลอง ทุกวัน ๆ

Phiboon Buakhunngamcharoen
Group Financial Controller
Mermaid Drilling Ltd

BA, Yonok #5
MBA, NIDA Flex #4
EDP, Thammasat University

ข้อความนี้ถูกเขียนใน การบัญชี, ทั่วไป คั่นหน้า ลิงก์ถาวร