ระบบการจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยเนชั่น

เพื่อให้การจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยเป็นแนวทางเดียวกันทั้งองค์กร และสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์และพันธกิจด้านการผลิตบัณฑิตและด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัย และเป็นไปตามเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษาภายใน มหาวิทยาลัยจึงมีระบบการจัดการความรู้ เพื่อให้รวบรวมองค์ความรู้ที่อยู่ในองค์กรซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการความรู้เป็นการดำเนินการอย่างน้อย 6 ประการต่อความรู้

  1. การกำหนดความรู้หลักที่จำเป็นหรือสำคัญต่องานหรือกิจกรรมของกลุ่มหรือองค์กร
  2. การเสาะหาความรู้ที่ต้องการ
  3. การปรับปรุง ดัดแปลง หรือสร้างความรู้บางส่วน ให้เหมาะต่อการใช้งานของตน
  4. การประยุกต์ใช้ความรู้ในกิจการงานของตน
  5. การนำประสบการณ์จากการทำงาน และการประยุกต์ใช้ความรู้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสกัด “ขุมความรู้” ออกมาบันทึกไว้
  6. การจดบันทึก “ขุมความรู้” และ “แก่นความรู้” สำหรับไว้ใช้งาน และปรับปรุงเป็นชุดความรู้ที่ครบถ้วน ลุ่มลึกและเชื่อมโยงมากขึ้น เหมาะต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น

ตามแนวทางของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

โพสท์ใน KM:ด้านการผลิตบัณฑิต, KM:ด้านการวิจัย | ติดป้ายกำกับ , , | ใส่ความเห็น

กระบวนการยื่นคำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์

เรียบเรียงโดย อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง คณะนิเทศศาสตร์

หลักเกณฑ์ในการพิจารณางานลิขสิทธิ์

1. เป็นงานที่แสดงออกถึงความคิด (expression of idea)

2. เป็นงานที่ริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตนเอง (originality)

3. การทุ่มเทกำลัง ความรู้ ความสามารถ ความตั้งใจวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์ (sweat & Laboure and judgment)

4. มีลักษณะเข้าข่ายตามประเภทของงานที่กฎหมายลิขสิทธิ์รับรอง

5. เป็นงานที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดี


สิ่งที่ยื่นแจ้งลิขสิทธิ์ได้ ได้แก่ งานสร้างสรรค์ประเภทต่าง ๆ คือ

– วรรณกรรม (หนังสือ จุลสาร โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ฯลฯ)

– นาฏกรรม (ท่ารำ ท่านเต้น ฯลฯ)

– ศิลปกรรม (จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สถาปัตยกรรม ภาพถ่าย ภาพประกอบ แผนที่ ศิลปประยุกต์ ฯลฯ)

– ดนตรีกรรม (คำร้องที่แต่งเพื่อประกอบทำนอง ทำนองและคำร้อง ฯลฯ)

– โสตทัศนวัสดุ (ดีวีดี)

– ภาพยนตร์ (ดีวีดี)

– สิ่งบันทึกเสียง (ซีดี)

– งานแพร่เสียงแพร่ภาพ (รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์) (ดีวีดี)

– งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ


สิ่งที่ยื่นแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ไม่ได้

1. ความคิด ขั้นตอน กรรมวิธี ระบบ วิธีใช้หรือวิธีทำงาน แนวความคิด หลักการ การค้นพบ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์

2. ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร

3. รัฐธรรมนูญและกฎหมาย

4. ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือท้องถิ่น

5. คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานทางราชการ

6. คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตามข้อ 2-5 ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานใดของรัฐหรือของท้องถิ่นที่จัดทำขึ้น


วิธีดำเนินการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์

1. การกรอกข้อมูลและระบุรายละเอียดต่าง ๆ

1.1 ชื่อเจ้าของสิทธิ์ ให้ระบุ ชื่อ สัญชาติ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือนิติบุคคล (แล้วแต่กรณี) และที่อยู่ของเจ้าของลิขสิทธิ์

1.2 ชื่อตัวแทน กรณีที่เจ้าของลิขสิทธิ์ต้องการมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจมาดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการรับแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ ระบุถึงขอบเขตอำนาจของผู้รับมอบอำนาจ รวมทั้งให้ระบุ ชื่อ สัญชาติ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนหรือนิติบุคคล (แล้วแต่กรณี) และที่อยู่ของผู้รับมอบอำนาจ

1.3 สถานที่ติดต่อในประเทศไทย ให้ระบุสถานที่และเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อเจ้าของสิทธิ์หรือตัวแทน เพื่อสะดวกในการติดตามเอกสารและผลงาน กรณีเอกสารและผลงานไม่ครบถ้วน

1.4 ชื่อผู้สร้างสรรค์หรือนามแฝง ให้ระบุชื่อ สัญชาติ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือนิติบุคคล ที่อยู่ผู้สร้างสรรค์ นามแฝง กรณีผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคลให้ระบุ วัน เดือน ปี ที่จดทะเบียนนิติบุคคล และกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิตแล้วให้ระบุ วัน เดือน ปี ที่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต

1.5 ชื่อผู้สร้างสรรค์ร่วมหรือนามแฝง ให้ระบุชื่อ สัญชาติ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือนิติบุคคล ที่อยู่ผู้สร้างสรรค์ นามแฝง กรณีมีผู้สร้างสรรค์ร่วมมากกว่า 1คน ให้ระบุในช่องนี้ กรณีผู้สร้างสรรค์ร่วมเป็นนิติบุคคลให้ระบุ วัน เดือน ปี ที่จดทะเบียนนิติบุคคล และกรณีที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมเสียชีวิตแล้วให้ระบุ วัน เดือน ปี ที่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต

1.6 ชื่อผลงาน ให้ระบุชื่อผลงานที่สะกดถูกต้อง เพื่อประโยชน์ในการระบุในหนังสือรับรองการแจ้งข้อมูล

1.7 ประเภทผลงาน ให้ระบุประเภทของงานและลักษณะงานที่ประสงค์จะยื่นแจ้งข้อมูลพร้อมระบุผลงานที่ยื่นประกอบคำขอ เช่น หนังสือ 1 เล่ม หรือแผ่นซีดี 1 แผ่น ฯลฯ เป็นต้น

1.8 ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ให้ระบุว่าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โดยวิธีใด เช่น เป็นผู้สร้างสรรค์ ผู้ว่าจ้าง ผู้รับจ้าง นายจ้าง หรือผู้รับโอนสิทธิ์ ฯลฯ เป็นต้น

1.9 ลักษณะการสร้างสรรค์ ให้ระบุว่า เป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นเองทั้งหมด สร้างสรรค์บางส่วน โดยระบุว่ามีส่วนใดบ้าง หรือเป็นกรณีอื่น ๆ เช่น เป็นผู้รวบรวมผลงาน หรือผู้ดัดแปลงผลงาน ฯลฯ

1.10 สถานที่สร้างสรรค์ ให้ระบุว่า การสร้างสรรค์ผลงานกระทำในประเทศใด

1.11 ปีที่สร้างสรรค์ ให้ระบุปีที่ทำการสร้างสรรค์ผลงาน

1.12 การโฆษณา ให้ระบุ วัน เดือน ปี และประเทศที่มีการโฆษณาครั้งแรก โดยการทำสำเนางานออกจำหน่ายโดยความยินยอมของผู้สร้างสรรค์และสำเนางานมีจำนวนมากพอสมควร กรณียังไม่มีการโฆษณางานให้ระบุโดยทำเครื่องหมายในช่องยังไม่ได้โฆษณา

1.13 การแจ้ง/จดทะเบียนลิขสิทธิ์ในต่างประเทศ ให้ระบุว่าเคยแจ้ง/จดทะเบียนลิขสิทธิ์ในต่างประเทศหรือไม่ โดยให้ทำเครื่องหมายลงในช่องการแจ้งหรือจดทะเบียน (แล้วแต่กรณี)

1.14 การอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์/โอนลิขสิทธิ์ ให้ระบุเครื่องหมายลงในช่องว่าเคยอนุญาต/โอนลิขสิทธิ์หรือไม่ เช่น หากไม่เคยอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์/โอนลิขสิทธิ์ ให้ทำเครื่องหมายในช่องไม่เคยอนุญาตให้ผู้อื่นใช้ลิขสิทธิ์หรือโอนลิขสิทธิ์ในงานของตน หากเคยอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์/โอนลิขสิทธิ์ ให้ระบุว่าอนุญาตให้ใช้หรือโอนลิขสิทธิ์แก่ใคร เมื่อใด เป็นการอนุญาตโอนลิขสิทธิ์โดยให้สิทธิ์ทั้งหมดหรือบางส่วน และมีระยะเวลาในการอนุญาต/โอนลิขสิทธิ์เท่าใด

1.15 การเผยแพร่ข้อมูลลิขสิทธิ์ ให้ระบุว่าอนุญาตให้คนอื่นตรวจดูเอกสารในแฟ้มคำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์และผลงานหรือไม่

1.16 การลงนามในคำขอให้เจ้าของลิขสิทธิ์หรือเป็นตัวแทนผู้ลงนาม

2. ใบต่อท้ายคำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ ในกรณีที่ข้อมูลที่กรอกในคำขอ (ลข.01) มีจำนวนมาก และผู้ขอไม่อาจกรอกข้อมูลได้ครบถ้วนในแต่ละข้อ เช่น ในกรณีที่มีเจ้าของลิขสิทธิ์ ตัวแทน ผู้สร้างสรรค์ร่วมมากกว่า 1คน ผู้ขอสามารถระบุข้อมูลเพิ่มเติมได้ในใบต่อท้ายฯ ผู้ลงนามในใบต่อท้าย คือ เจ้าของลิขสิทธิ์ หรือตัวแทน

3. แบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ผลงานโดยย่อ ให้ระบุวิธีการและขั้นตอนในสร้างสรรค์ผลงานโดยย่อหรือแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ผู้ลงนามในแบบแสดงรายละเอียดการสร้างสรรค์ผลงานโดยย่อ คือ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือตัวแทน

4. หนังสือรับรองความเป็นเจ้าของงานลิขสิทธิ์ ให้ระบุชื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ ที่อยู่ ทะเบียนนิติบุคคล (ถ้ามี) ประเภทของงานลิขสิทธิ์ ชื่อผลงาน และระบุวันที่ยื่นคำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ ผู้ลงนามในหนังสือรับรองความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ คือ เจ้าของลิขสิทธิ์ เท่านั้น


รายการเอกสาร หลักฐานประกอบ

1. สำเนาบัตรประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง (กรณีเป็นบุคคลธรรมดา)

2. สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล ที่นายทะเบียนออกให้ไม่เกิน 6 เดือน ของเจ้าของลิขสิทธิ์ (กรณีเป็นนิติบุคคล

3. ผลงานหรือภาพถ่ายงานลิขสิทธิ์ จำนวน 1 ชุด

4. หนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ 30 บาท พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ (รับรองสำเนาถูกต้อง) 

5. หน่วยงานหรือองค์กรของรัฐบาลใช้สำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้บริหารหน่วยงานหรือองค์กรฯ รวมทั้งสำเนาบัตรประชาชนของผู้ยื่นคำขอ (รับรองสำเนาถูกต้อง)

เรียบเรียงจาก

1. การประชุมเชิงปฏิบัติการออนไลน์ เรื่อง “การขอจดลิขสิทธิ์ผลงานวิชาการ” วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 09.00-12.00 น. อบรมออนไลน์บรรยายโดย ผศ.ณัฐนันท์ ทองทรัพย์ รองผู้อำนวยการส่วนงานวิจัยและบริการ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น

2. กรมทรัพย์สินทางปัญญา http://www.ipthailand.go.th/th/copyright-002-1.html

โพสท์ใน แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ใส่ความเห็น

ฐานพัฒนาสมรรถนะ กรณี โรงเรียนผู้สูงอายุทุ่งกว๋าว

6 กิจกรรมพัฒนาสมรรถนะนักเรียนผู้สูงอายุ ปี พ.ศ. 2565 ที่ #โรงเรียนผู้สูงอายุทุ่งกว๋าว
1. การตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยชุด ATK (เทคนิคการแพทย์)
2. การล้างมืออย่างไรให้ปลอดภัย (พยาบาลศาสตร์)
3. การเดินทางโดยเครื่องบิน (สาขาธุรกิจการบินฯ)
4. ตรวจสุขภาพฟันและแนะนำการดูแลช่องปาก (ทันตแพทยศาสตร์)
5. การยืดเหยียดสำหรับผู้สูงอายุ (สาธารณสุขศาสตร์)
6. เทคนิคการถ่ายภาพเพื่อส่งเสริมการขายสินค้า (นิเทศศาสตร์ + MBA)
เพิ่มเติม ฐานกิจกรรมวาดภาพระบายสี (ศิลปศาสตร์ฯ)
ดูแลพิธีการโดย อ.วีระพันธ์ แก้วรัตน์ (บริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์)
และเป็น โครงการ ดูแล ส่งเสริมสุขภาพ ผู้สูงอายุ โดยหมอมือใหม่ จิตอาสา มหาวิทยาลัยเนชั่นบูรณาการวิชาการเพื่อบริการแก่สังคมในสถานการณ์โควิด (Covid 19) โดย สโมสรนิสิตมหาวิทยาลัยเนชั่น ร่วมกับ คณะกรรมการนิสิต 5 คณะวิชา ซึ่งพบการเล่าเรื่องแบบ Story telling ในสื่อสังคมของมหาวิทยาลัยเนชั่น

โพสท์ใน งานวิจัยและบริการวิชาการ | ติดป้ายกำกับ , | ใส่ความเห็น

การพัฒนาการเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ ที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI 2

สถาบันอุดมศึกษามีพันธกิจหลักที่สําคัญในด้านการผลิตบัณฑิต การวิจัย การบริการวิชาการแก่สังคม และการทํานุบํารุงศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ภายใต้พันธกิจด้านการวิจัย สถาบันอุดมศึกษาควรสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรของสถาบันให้มีการดําเนินการวิจัย เพื่อค้นหาองค์ความรู้ใหม่และสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาองค์กรในด้านต่างๆ การทำวิจัยและเผยแพร่องค์ความรู้เชิงวิชาการถือเป็นพันธกิจหลักอย่างหนึ่งของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญด้านคุณภาพของมหาวิทยาลัย ซึ่งผลที่เกิดจากการศึกษา คิดค้น วิจัยและพัฒนา อย่างถูกต้องและเป็นระบบ จะสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลงานวิจัยที่แล้วเสร็จควรนำไปเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า

เพื่อให้ทราบถึงแนวทางในการพัฒนาการผลิตผลงานวิจัย/ผลงานวิชาการเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI 2 อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพของอาจารย์และส่งผลต่อคุณภาพของมหาวิทยาลัย คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น จึงได้จัดทำแผนการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ในประเด็นการพัฒนาการผลิตผลงานวิจัย/ผลงานวิชาการเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI 2 โดยได้จัดให้มีกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อเป็นเวทีในการถ่ายทอดองค์ความรู้จากอาจารย์ที่มีความรู้ ความชำนาญและมีประสบการณ์ในการผลิตผลงานวิจัย/ผลงานวิชาการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI 2 เพื่อเป็นประโยชน์ต่ออาจารย์ท่านอื่น ที่จะนำความรู้ที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ได้รับการตอบรับเข้าร่วมการตีพิมพ์/เผยแพร่ผลงานวิจัยต่อไป ซึ่งสามารถสรุปเป็นแนวทางในการพัฒนาการผลิตผลงานวิจัย/ผลงานวิชาการเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI 2 ดังนี้

ลักษณะของบทความวิชาการ

บทความวิชาการ (Academic article) เป็นงานเขียนวิชาการซึ่งมีการวิเคราะห์ประเด็นตามหลักวิชาการ มีการสำรวจวรรณกรรมและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบเพื่อสนับสนุนและสามารถสรุปผลการวิเคราะห์ในประเด็นนั้นได้ มีเนื้อหาเน้นหนักไปในด้านวิชาการ เสนอความคิด วิทยาการใหม่ หรือเป็นการตีความ ค้นคว้าหาข้อเท็จจริงที่แปลกใหม่มาเสนอต่อผู้อ่าน ลักษณะเฉพาะของบทความประเภทนี้ คือ ลีลาการเขียน ภาษา ศัพท์ เป็นไปตามหลักวิชาการ ซึ่งบางครั้งผู้เขียนอาจเสนอแนวคิดใหม่เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการที่เชื่อถือเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ (ลลิตา กิตติประสาร, 2554: 469 อ้างถึงใน สัญญา เคณาภูมิ, 2560)

หรืออาจกล่าวได้ว่า บทความวิชาการ หมายถึง งานเขียนทางวิชาการซึ่งมีการกําหนดประเด็นที่ต้องการอธิบายหรือวิเคราะห์อย่างชัดเจน ทั้งนี้มีการวิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวตามหลักวิชาการโดยมีการสำรวจวรรณกรรมเพื่อสนับสนุนจนสามารถสรุปวิเคราะห์ในประเด็นนั้นๆ ได้ อาจเป็นการนําความรู้จากแหล่งต่างๆ มาประมวลร้อยเรียงเพื่อวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ โดยที่ผู้เขียนแสดงทัศนะทางวิชาการของตนไว้อย่างชัดเจน (ก.พ.อ.2560)

บทความวิชาการที่พบมากในทางสังคมศาสตร์มักเป็นการประมวล สรุปวิเคราะห์และแสดงทัศนะทางวิชาการของนักวิชาการต่อแนวคิดหรือทฤษฎีทางสังคมศาสตร์

รูปแบบของบทความวิชาการ

ประกอบด้วย การเกริ่นนำที่แสดงเหตุผลหรือที่มาของประเด็นที่ต้องการอธิบายหรือวิเคราะห์ กระบวนการอธิบาย หรือวิเคราะห์ บทสรุป และการอ้างอิงบรรณานุกรมที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ บทความทางวิชาการเป็นภาพสะท้อนถึงความตื่นตัวทางวิชาการในการติดตามวิทยาการใหม่ ๆ โดยการจัดระบบความคิดถ่ายทอดออกมาเป็นบทความวิชาการ ก่อให้เกิดการกระจายและพัฒนาองค์ความรู้ในวงการวิชาการและหรือวิชาชีพเป็นประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ นักวิชาการไม่ว่าจะอยู่ในวงการวิชาการหรือวิชาชีพจึงจำเป็นต้องมีความรู้และความสามารถในการเขียนบทความทางวิชาการ อย่างไรก็ตีบทความวิชาการมักจะมีลักษณะเฉพาะอยู่หลายประการ ได้แก่ (วรางคณา จันทรคง, 2557 อ้างถึงใน สัญญา เคณาภูมิ, 2560)

1. ต้องเป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากกำลังสนใจอยู่ในขณะนั้น อาจเป็นปัญหาที่คนทั่วไปอยากทราบว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือมีผลเช่นไร หรือเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์หรือเข้ายุคเข้าสมัย

2. ต้องมีสาระแก่นสาร อ่านแล้วได้ความรู้หรือความคิดเพิ่มเติม มิใช่เรื่องเลื่อนลอย เหลวไหลไร้สาระ

3. ต้องมีทัศนะ ข้อคิดเห็น และหรือ ข้อวินิจฉัยของผู้เขียนแทรกอยู่ด้วย

4. มีวิธีการเขียนที่ชวนให้อ่าน ทำให้เพลิดเพลินและชวนคิด

5. เนื้อหาสาระและวิธีเขียนเหมาะแก่ผู้อ่านระดับที่มีการศึกษาทั้งนี้เพราะผู้อ่านที่มีการศึกษาน้อยมักจะไม่อ่านบทความแต่จะอ่านข่าวสดมากกว่า

6. มีการนำเสนอความรู้หรือความคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิชาการที่เชื่อถือได้ในเรื่องนั้น ๆ โดยมีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิง

7. มีการวิเคราะห์ วิจารณ์ ให้ผู้อ่านเห็นประเด็นสำคัญอันเป็นสารประโยชนที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอแก่ผู้อ่านซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวหรือประสบการณ์และผลงานของผู้อื่นมาใช้

8. มีการเรียบเรียงเนื้อหาสาระอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่างในความรู้ความคิดที่นำเสนอ

9. มีการอ้างอิงทางวิชาการและบอกแหล่งอ้างอิงทางวิชาการอย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชาการและจรรยาบรรณของนักวิชาการ

10. มีการอภิปรายให้แนวคิด แนวทางในการนำความรู้ ความคิดที่นำเสนอไปใช้ให้เป็นประโยชน์หรือมีประเด็นใหม่ ๆ ที่กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความต้องการสืบเสาะหาความหรือพัฒนาความคิดในประเด็นนั้น ๆ ต่อไป เป็นต้น

ลักษณะของบทความที่มีคุณภาพ (พร้อมภัค บึงบัว และคณะ, 2561)

1. ถูกต้องตามเกณฑ์มาตรฐานทางวิชาการ

2. ได้รับการยอมรับเผยแพร่ นำเสนอหรือตีพิมพ์

3. มีนักวิจัยนำไปใช้อ้างอิงและใช้ประโยชน์

ลักษณะของบทความตามหลัก 7C

1. ความถูกต้อง (Correctness)

2. ความมีเหตุผลมั่นคง (Cogency)

3. ความกระจ่างแจ้ง (Clarity)

4. ความสมบูรณ์(Completeness)

5. ความกะทัดรัด (Concise)

6. ความสม่ำเสมอ (Consistency)

7. ความเชื่อมโยง (Concatenation)

องค์ประกอบของบทความวิชาการ

1. ชื่อเรื่อง

1.1 ใช้ภาษาที่เป็นทางการ ชื่อเรื่องชัดเจนตรงไปตรงมา และครอบคลุมประเด็นของเรื่อง

1.2 ไม่จำเป็นต้องตรงกับชื่องานวิจัย (กรณีส่วนหนึ่งส่วนใดของงานวิจัย)

1.3 ควรมีลักษณะทั้งแบบ Didactic และ Lapidaric

Didactic : มองเห็นความสำคัญของแนวคิดหลักและประโยชน์ที่ได้รับ

Lapidaric : เห็นแก่นขององค์ความรู้

1.4 ประเด็นที่เป็นข้อสงสัย ขัดแย้ง ยังไม่ยุติ

1.5 ประเด็นที่เป็นเรื่องใหม่ ทันต่อยุคสมัย เป็นกระแสความสนใจ

1.6 ประเด็นนวัตกรรม

1.7 ประเด็นที่วารสารต้องการ ตรงกับ Theme

1.8 ประเด็นที่มีคุณค่าทางวิชาการ

โดยสรุป ชื่อเรื่อง ควรตั้งให้เข้ากับประเด็นของเนื้อหาที่เขียน  ไม่ควรยาวเกิน 1-2 บรรทัด

2. บทคัดย่อ/Abstract

2.1 บทคัดย่อในบทความวิชาการ เป็นการสรุปประเด็นเนื้อหาที่เป็นแก่นสำคัญ เน้นประเด็นสำคัญของงานที่ต้องการนำเสนอจริง ๆ

2.2 ควรเขียนให้สั้น กระชับ มีความยาวไม่เกิน 10-15 บรรทัด (หรือตามที่แหล่งตีพิมพ์กำหนด)

2.3 บทคัดย่อมักจะประกอบด้วยเนื้อหา 3 ส่วน คือ เกริ่นนำ สิ่งที่ทำ สรุปผลสำคัญที่ได้ซึ่งอ่านแล้วต้องเห็นภาพรวมทั้งหมดของงาน

2.4 Abstract ต้องตรงตามบทคัดย่อ

          บทคัดย่อเป็นส่วนที่เป็นเสมือนแผนที่ให้เห็นบทความวิชาการได้โดยองค์รวม

3. คำสำคัญ/Keyword

3.1 ควรเลือกคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับบทความ ประมาณ 3-5 คำ

3.2 คำสำคัญในภาษาไทยต้องตรงกับคำสำคัญในภาษาอังกฤษ

3.3 เป็นคำที่มีนัยสำคัญที่ปรากฏในชื่อเรื่อง

3.4 เป็นคำค้นจากดัชนีเอกสารในวารสารและดัชนีประเภทต่าง ๆ      

4. บทนำ/ส่วนนำ

4.1 เป็นส่วนที่ผู้เขียนจูงใจให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในเรื่องนั้น

4.2 ใช้ภาษาที่กระตุ้น จูงใจผู้อ่าน

4.3 ยกปัญหาที่กำลังเป็นที่สนใจมาอภิปราย

4.4 ตั้งประเด็นคำถามหรือปัญหาที่ท้าทายความคิดของผู้อ่าน

4.5 กล่าวถึงประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับจากการอ่าน

4.6 ผู้เขียนกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความ หรือให้คำชี้แจงที่มาของการเขียนบทความนั้น

4.7 บอกขอบเขตของบทความเพื่อช่วยให้ผู้อ่านไม่คาดหวังเกินขอบเขตที่กำหนด

4.8 ปูพื้นฐานที่จำเป็นในการอ่านเรื่องนั้นให้แก่ผู้อ่าน

4.9 หลักการและเหตุผล (rationale) หรือความเป็นมาหรือภูมิหลัง (Background) หรือความสำคัญของเรื่องที่เขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบเป็นพื้นฐานไว้ก่อนว่าเรื่องที่เลือกมาเขียนมีความสำคัญหรือมีความเป็นมาอย่างไร เหตุผลใด ผู้เขียนจึงเลือกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาเขียน

4.10 วัตถุประสงค์ เป็นการเขียนว่าในการเขียนบทความในครั้งนี้ต้องการให้ผู้อ่านได้ทราบเรื่องอะไรบ้าง จำนวนวัตถุประสงค์แต่ละข้อไม่ควรมีมากเกินไปและวัตถุประสงค์แต่ละหัวข้อจะต้องสอดคล้องกับเรื่องหรือเนื้อหาของบทความ

4.11 ขอบเขตของเรื่อง (ถ้ามี) ผู้เขียนต้องการจะบอกกล่าวให้ผู้อ่านทราบและเข้าใจตรงกันเพื่อเป็นกรอบในการอ่าน อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยในการเขียน ได้แก่ ความยาวของงานที่เขียน หากมีความยาวไม่มากก็ควรกำหนดขอบเขตการเขียนให้แคบลง ไม่เช่นนั้นผู้เขียนจะไม่สามารถนำเสนอเรื่องได้ครบถ้วนสมบูรณ์ และระยะเวลาที่ต้องรวบรวมข้อมูลอาจชี้แจงการกำหนดเรื่องที่จะเขียนที่ลึกซึ้ง สลับซับช้อน หรือเป็นเรื่องเชิงเทคนิคอาจจะยกต่อการรวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงเนื้อเรื่อง

4.12 คำจำกัดความหรือนิยามต่าง ๆ (ถ้ามี) คำจำกัดความที่ผู้เขียนเห็นว่าควรระบุไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในกรณีที่คำเหล่านั้น ผู้เขียนใช้ในความหมายที่แตกต่างจากความหมายทั่วไปหรือเป็นคำที่ผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจความหมายถึงเป็นการทำความเข้าใจและการสื่อความหมายให้ผู้เขียนบทความและผู้อ่านบทความเข้าใจตรงกัน รวมทั้งเป็นการขยายความหมายให้สามารถตรวจสอบหรือสังเกตได้

          โดยสรุป บทนำเป็นเสมือนประตูหน้าบ้านของบทความที่ทำให้ผู้อ่านรู้ข้อมูลเบื้องต้นของบทความ เป็นการปูพื้นก่อนที่จะเข้าไปสู่เนื้อหาถัดไป ควรเขียนไม่เกิน 1 -2 หน้า

5. เนื้อหาสาระ

มักจะมีประมาณ 2-3 หัวข้อย่อย ประมาณ 8-10 หน้าโดยเริ่มจากบทนำไปจนถึงบทสรุป โดยผู้เขียนจะต้องแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของเหตุที่นำไปสู่ผล (causal relationship) การอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ การลำดับความ การบรรยาย วิธีการอ้างอิง สถิติและข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบเรื่องที่เขียน เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจและประทับใจมากที่สุด

5.1 การจัดลำดับเนื้อหาสาระ

5.1.1 การจัดลำดับเนื้อหาสาระ

5.1.2 วางแผนจัดโครงสร้างของเนื้อหาสาระที่จะนำเสนอ

5.1.3 จัดลำดับเนื้อหาสาระให้เหมาะสม

5.1.4 การนำเสนอเนื้อหาสาระควรมีความต่อเนื่องกันเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจสาระนั้นได้โดยง่าย

5.2 สไตล์การเขียน

ผู้เขียนแต่ละคนย่อมมีสไตล์การเขียนของตนซึ่งจะเป็นเอกลักษณ์ สิ่งที่ควรคำนึง คือ ผู้เขียนจะต้องเขียนอธิบายเรื่องนั้น ๆ ให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่างมากที่สุด ใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น การจัดลำดับหัวข้อ การยกตัวอย่างที่เหมาะสม การใช้ภาษาที่กระชับชัดเจน เหมาะสมกับผู้อ่าน เป็นต้น

5.3 การวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์

ควรนำเสนอความคิดเห็นของผู้เขียนด้วยการวิเคราะห์วิจารณ์ข้อมูล เนื้อหาสาระ เป็นการริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้เขียน การวิเคราะห์วิจารณ์อาจนำเสนอพร้อมกับการนำเสนอเนื้อหาสาระตามความเหมาะสมกับลักษณะเนื้อหาของเรื่อง

5.4 การใช้ภาษา

ต้องใช้คำในภาษาไทย ใส่คำภาษาต่างประเทศไว้ในวงเล็บ เขียนคำให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตสถาน สะกดคำให้ถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ควรตรวจทานงานไม่ให้ผิดพลาด เพราะจะเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการต่อไป

5.5 วิธีการนำเสนอ

นำเสนอเนื้อหาสาระให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว ใช้เทคนิคต่าง ๆ ช่วยนำเสนอ เช่น การใช้ภาพ แผนภูมิ ตาราง แผนสถิติ เป็นต้น ควรนำเสนอสื่อต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การเขียนซื่อตาราง การให้หัวข้อต่าง ๆ ในตาราง เป็นต้น

6. บทสรุป

บทความทางวิชาการที่ดีควรมีการสรุปประเด็นสำคัญ ๆ ของบทความนั้น ๆ รายละเอียด ดังนี้

6.1 การย่อ คือ การเลือกเก็บประเด็นสำคัญ ๆ ของบทความนั้น ๆ มาเขียนรวมกันไว้อย่างสั้น ๆ ท้ายบท

6.2 การบอกผลลัพธ์ว่าสิ่งที่กล่าวมามีความสำคัญอย่างไร

6.3 การบอกแนวทางการนำไปใช้ของสิ่งที่กล่าวมาว่าสามารถนำไปใช้อะไรได้บ้าง หรือจะทำให้เกิดอะไรต่อไป

6.4 การตั้งคำถามหรือให้ประเด็นทิ้งท้ายกระตุ้นให้ผู้อ่านไปสืบเสาะแสวงหาความรู้ หรือคิดค้นพัฒนาเรื่องนั้นต่อไป

7. รายการอ้างอิง

7.1 ผู้วิจัยต้องอ่านเอกสารที่ตนจะใช้เป็นเอกสารอ้างอิงก่อนเสมอ

7.2 ไม่ควรอ้างอิงแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ เช่น เว็บไซต์ หนังสือ ตำรา เป็นต้น ควรอ้างอิงจากเอกสารที่เป็นนิพนธ์ต้นฉบับ

7.3 ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่มากเกินไปจนพร่ำเพรื่อ

7.4 ไม่ควรนำบทคัดย่อมาเป็นเอกสารอ้างอิง

7.5 การอ้างอิงที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์แต่ได้ตอบรับการตีพิมพ์ควรระบุไว้ว่าเป็น “in press” หรือ “forthcoming”

7.6 การอ้างอิงเอกสารที่ไม่ได้รับการตีพิมพ์แต่ได้ส่งเพื่อพิจารณาตีพิมพ์หรือการอ้างอิงข้อมูลที่ไม่เคยส่งตีพิมพ์ ควรระบุว่าเป็น “unpublished data” หรือ “unpublished observations”และควรได้รับคำยินยอมจากเจ้าของเป็นลายลักษณ์อักษร

7.7 เมื่อทำการทวนความ (paraphrase) หรือย่อความ (summarize) มาจากบทความอื่นไม่ว่าจะเป็นบทความของตนเองหรือบทความของผู้อื่น นักวิจัยควรที่จะอ้างอิงเอกสารต้นฉบับนั้นไว้ด้วย

7.8 ไม่ควรใช้บทความที่ถูกถอดถอนออกไปแล้วมาเป็นเอกสารอ้างอิง

7.9 ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิง ทั้งในแง่ของรูปแบบและเนื้อหา

การเรียบเรียงต้นฉบับบทความ

การเขียนบทความนั้นไม่ใช่การเขียนเสร็จในร่างเดียว โดยทั่วไปอาจต้องเขียนอย่างต่ำ 4 ร่างก่อนที่จะส่งไปตีพิมพ์ได้ ดังนี้ (ปรับปรุงจาก Perry et al. 2003: 662 อ้างถึงใน Kotze, 2007)

– ร่างที่ 1 – ให้วางโครงเรื่อง แล้วเขียนโดยไม่ต้องกังวลมากนักกับระบบการอ้างอิง หรือ ภาษา สิ่งสําคัญคือ เริ่มวางเค้าโครงการเขียนและลงมือเขียน

– ร่างที่ 2 – ปรับปรุงบทความที่เขียนไว้ ตรวจดูว่าการเรียงลําดับของหัวข้อต่างๆ ในการนําเสนอเหมาะสมหรือไม่ บทความมีความเชื่อมโยง มีตรรกะเหตุผลต่อกันหรือไม่ อาจต้องมีการสลับทีของหัวข้อ และเขียนเชื่อมโยงแต่ละส่วน หรืออาจต้องเพิ่มการเขียนเกริ่นนําในแต่ละส่วนเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกันตลอดทั้งบทความ

– ร่างที่ 3 – ปรับปรุงอีกครั้ง อาจทิ้งบทความไว ้2-3 วัน แล้วนํามาอ่านใหม่ อาจปรับบทความให้สั้นลง จนได้บทความที่พอใจ

– ร่างที่ 4 – ปรับปรุงด้านเทคนิคของบทความทั้งหมด เช่น ระบบการอ้างอิง การตั้งชื่อหัวข้อ การใส่  เลขหัวข้อ ตาราง รูปภาพ ให้ถูกต้องเป็นระบบเดียวกันทั้งหมด ตรวจสอบการอ้างอิงในเนื้อหาและรายการเอกสารอ้างอิงท้ายบทความว่าครบถ้วน ไม่ขาด ไม่เกิน และถูกต้องทั้งหมด ควรหาเพื่อนร่วมงานให้ช่วยอ่านตรวจทานให้ก่อนส่งบรรณาธิการ

การเขียนบทความวิชาการ ควรเลือกเขียนในประเด็นที่ผู้เขียนมีความรู้้และความถนัดมากที่สุด รวมทั้งมีความสนใจศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ทั้งนี หากเคยมีประสบการณ์ในการวิจัยในประเด็นนั้นๆ มาแล้ว ก็จะทําให้สามารถเขียนบทความวิชาการได้ดีขึ้น ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจจะเขียนบทความวิชาการ ควรอ่านบทความวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ก้าวทันความรู้ทางวิชาการ

สาเหตุที่บทความถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ในวารสาร

– บทความไม่สอดคล้องกับนโยบายและขอบเขตของวารสาร

– รูปแบบการเขียนบทความไม่ตรงกับรูปแบบที่วารสารกําหนด

– การเขียนบกพร่อง ผิดพลาดมาก

– ขนาดความยาว สั้นหรือ ยาวเกินไป

– ขาดความทันสมัย

– ตาราง รูปภาพ ไม่สื่อความหมาย ข้อมูลในตารางและคําอธิบายไม่สอดคล้องกัน

– ไม่สามารถชี้ให้เห็นถึงความสําคัญของประเด็นปัญหาของการวิจัย

– ผู้เขียนไม่ยอมแก้บทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิหรือบรรณาธิการ

จะเห็นได้ว่าสาเหตุในการปฏิเสธบทความที่กล่าวมาข้างต้น มาจากการที่ผู้เขียนไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับวารสารที่จะส่งบทความไปตีพิมพ์ (เช่น ไม่เข้าใจถึงนโยบายและขอบเขตของวารสาร ไม่ได้ศึกษารูปแบบของบทความ) และปัญหาในการเขียนและเรียบเรียง ซึ่งอาจมาจากความไม่ใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งทําให้บรรณาธิการอาจตั้งคําถามต่องานวิจัย รวมทั้งอาจเกรงว่าผู้เขียนจะมีปัญหาในการการปรับปรุงบทความให้ดี ขี้น ภายหลังจากได้รับคําแนะนําจากบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นที่บทความอาจถูก ปฏิเสธการตีพิมพ์ แม้ว่าจะเป็นบทความที่มีคุณภาพดีในระดับหนึ่ง เช่น วารสารมีบทความที่มีคุณภาพดีกว่า(เนื่องจากผู้เขียนเลือกวารสารที่มีคุณภาพและอันดับสูงเกินไป) หรือวารสารอาจเพิ่งตีพิมพ์บทความในประเด็นเดียวกันหรือใกล้เคียงกันไปไม่นาน จึงไม่ตีพิมพ์ซ้ำอีก

เอกสารอ้างอิง

พร้อมภัค บึงบัว และคณะ. (2561). การเขียนบทความวิชาการและการเขียนบทความการวิจัย.

เอกสารประกอบการบรรยาย. ค้นเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2562, จาก http://www.nidtep.go.th/2017/publish/doc/20180515.pdf

สัญญา เคณาภูมิ. (2560). แนวทางการเขียนบทความวิชาการ. วารสารมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์, 34 (1) มกราคม – เมษายน 2560: 1-31.

โพสท์ใน ทั่วไป | ใส่ความเห็น

การสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรเพื่อผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการหลักสูตร

สถาบันอุดมศึกษามีพันธกิจหลักที่สําคัญในด้านการผลิตบัณฑิต การวิจัย การบริการวิชาการแก่สังคม และการทํานุบํารุงศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ภายใต้พันธกิจด้านการผลิตบัณฑิต คณะให้ความสำคัญต่อการสร้างแนวปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาการทำงานปกติให้มีประสิทธิภาพด้านการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน กระบวนการบริหารจัดการทั้งด้านวิชาการและการพัฒนานิสิตด้วยกิจกรรมต่างๆ ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ดังกล่าวถือเป็นภารกิจสำคัญของอาจารย์ และอาจารย์ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญด้านคุณภาพของหลักสูตร คณะ และมหาวิทยาลัย การทำให้อาจารย์รวมถึงบุคลากรเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุนมีความสุขในการปฏิบัติงาน จึงเป็นเรื่องสำคัญ อันจะส่งผลให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพื่อให้ทราบถึงแนวทางในการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรเพื่อผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการหลักสูตร คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น จึงได้จัดทำแผนการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ในประเด็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรเพื่อผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการหลักสูตร โดยได้จัดให้มีกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อเป็นเวทีในการถ่ายทอดองค์ความรู้จากอาจารย์โดยมีการแลกเปลี่ยน วิเคราะห์กระบวนการทำงาน-ผลที่ได้ เพื่อสรุปแนวปฏิบัติที่ดีในการดำเนินงานร่วมกันให้เป็นระบบและรูปแบบเดียวกัน ซึ่งสามารถสรุปเป็นแนวทางในการจัดทำคู่มือการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรเพื่อผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการหลักสูตร ดังนี้

เพื่อให้การสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรเป็นไปอย่างถูกต้องและสอดคล้องความต้องการอย่างแท้จริง เทคนิคหรือวิธีการหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ประกอบการดำเนินงาน ได้แก่ เทคนิคการสำรวจข้อมูลและการส่งข้อมูลย้อนกลับ (Survey Feedback) ซึ่งเป็นเทคนิคการพัฒนาองค์การประเภทหนึ่ง เทคนิคนี้เป็นวิธีการที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้วยการรับรู้ข้อมูลร่วมกัน โดยมีฐานความเชื่อที่ว่า การเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ พนักงานต้องรับรู้และเข้าใจถึงจุดแข็งและจุดอ่อนในปัจจุบันของหน่วยงานตน ซึ่งเป็นหลักการและเหตุผลสำคัญของการใช้เทคนิคการสำรวจข้อมูลและการส่งข้อมูลย้อนกลับนี้ โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้

ขั้นแรก เป็นการรวบรวมข้อมูลทั้งหลายที่เป็นข้อวิตกกังวลของพนักงาน เช่น บรรยากาศขององค์การ แบบภาวะผู้นำ และสภาพความพึงพอใจต่องาน เป็นต้น โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์หรือให้ตอบแบบสอบถามหรือทั้งสองอย่างก็ได้ ข้อมูลที่ได้ต้องพยายามหลีกเลี่ยงอคติลำเอียงและต้องเก็บเป็นความลับ

ขั้นที่สอง เป็นการเขียนรายงานข้อมูลที่ได้รับกลับมาจากพนักงาน ระหว่างการประชุมกลุ่มย่อย เช่น เค้าโครงแสดงที่มาของความรู้สึกที่พนักงานมีต่อองค์การ หรือต่อผู้นำหรือต่องานที่ทำอภิปรายเพื่อหาประเด็นหลัก และการบ่งชี้ของข้อมูล ให้ได้ว่าปัญหาคืออะไร

ขั้นที่สุดท้าย เป็นการวิเคราะห์ปัญหาในแง่ที่เกี่ยวกับการสื่อสาร การตัดสินใจและกระบวนการต่าง ๆ ขององค์การ เพื่อนำมาจัดทำแผนในแต่ละเรื่อง

เทคนิคการสำรวจข้อมูลและการส่งข้อมูลย้อนกลับ ประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญๆอยู่ 2 ส่วน คือ

1.การสำรวจข้อมูล

2.การส่งข้อมูลย้อนกลับ        

การสำรวจข้อมูล ก็โดยการอาศัยแบบสอบถามเพื่อการสำรวจทัศนคติหรือความเห็นของทุกคนในองค์การ 

การส่งข้อมูลย้อนกลับ ก็โดยอาศัยการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อให้สมาชิกได้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามความเห็นหรือทัศนคติของบุคคลหลังจากที่ได้มีการรวบรวมวินิจฉัย  และเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ

ในแบบสอบถามนั้นมักมีประเด็นต่างๆ ที่กระทบต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานดังนี้

1. บรรยากาศในองค์การ

2. เงินเดือนและผลประโยชน์เกื้อกูล

3. ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานภายใน

4. การติดต่อสื่อสาร

5. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา

6. การให้คำปรึกษาแนะนำในการทำงาน

7. งานที่ตนเองรับผิดชอบ

8. ความกดดันที่เกี่ยวกับการทำงาน

9. การบริหารงานโดยยึดวัตถุประสงค์

10. โอกาสของความเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของแต่ละบุคคล

11. การได้รับการศึกษาอบรมของแต่ละคน

จะเห็นได้ว่าการสอบถามความคิดเห็นของคนทุกคนในองค์การ หรือในหน่วยงานที่เราต้องสำรวจในเรื่องต่างๆ ดังกล่าว จะทำให้รู้ความเป็นไปแทบจะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในองค์การนั้นเลยทีเดียว

นอกจากนั้นยังเป็นการสอบถามถึงปัญหาของทุกคนที่เจออยู่ และรวมถึงความสัมพันธ์ของงานที่ตนต้องรับผิดชอบร่วมกับบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย นั่นก็คือเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำงานของทั้งระบบนั่นเอง

สำหรับการส่งข้อมูลย้อนกลับนั้น ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากระบวนการในการสำรวจข้อมูลตั้งแต่แรก

กระบวนการในการส่งข้อมูลย้อนกลับ คือเป็นการเสนอข้อมูลหลังจากที่ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้แล้ว

คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์ได้นำเอาแนวคิดจากเทคนิคการสำรวจข้อมูลและการส่งข้อมูลย้อนกลับมาประยุกต์ใช้ ดังนี้

  1. การสำรวจข้อมูล คณะได้จัดทำแบบสอบถามเพื่อสอบถามความคิดเห็นจากบุคลากร เพื่อทราบความคิดเห็นและความรู้สึกของบุคลากรที่มีต่อประเด็นต่างๆ
  2. การส่งข้อมูลย้อนกลับ คณะได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการและนำผลที่ประมวลได้จากแบบสอบถามมาแจ้งเพื่อให้บุคลากรได้ทราบและร่วมแสดงความเห็นหรือทัศนคติเพื่อหาแนวทาง/วิธีการในการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากรต่อไป

ซึ่งผลที่ประมวลได้จากแบบสอบถามและจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์ ในวันที่ 25 ธันวาคม 2564 เป็นดังนี้

1. บรรยากาศในองค์การ

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-คนให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน รู้สึกอบอุ่น มีความเป็นไมตรีจิตมาโดยตลอด ยังคงมีความเป็นโยนกในอดีต

-เงียบๆ ไม่ครื้นเครง ยังมีการแบ่งแยกเป็นกลุ่ม

-บรรยากาศในคณะฯ ดีมาก อยู่กันเหมือนพี่น้อง มีการพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง  ทั้งเรื่องการทำงาน  เรื่องบันเทิง เรื่องเล่าต่างๆ ข่าวสารบ้านเมือง และมีบางครั้งที่ในออฟฟิศมีเสียงดังจนเกินไป

-ภายนอกคณะ บรรยากาศการทำงาน ขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานค่อนข้างหายไปในทุกๆ วัน  และต่างคนต่างอยู่

-ในระดับคณะบริหารฯ มีบรรยากาศที่ดีส่วนระดับองค์การต่างคณะวิชา ต่างหน่วยงาน ต่างทำงานของตนโดยขาดการ Collaboration

-ดีอยู่แล้ว

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-บรรยากาศเป็นเหมือนเพื่อน พี่ น้อง

-สร้างบรรยากาศให้สนุกกับงานตลอดเวลา 

-ที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ พึ่งพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

-การทำงานจะประสบความสำเร็จได้ทุกคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบควรช่วยเหลือกันและกัน ผู้บริหารระดับสูงควรให้ความชัดเจนในการมอบหมายงาน

-องค์การควรสร้างบรรยากาศในองค์การด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ พฤติกรรมของผู้นำ  การจัดการภายในองค์กร และ กลยุทธ์

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า บรรยากาศในองค์การมีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับปานกลาง (3.20)

2. เงินเดือนและผลประโยชน์เกื้อกูล

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-ไม่สมเหตุสมผล  สวัสดิการ การช่วยเหลือแก่บุคลากร เช่นเดียวกับบริษัทเอกชนทั่วไป และผลประโยชน์บางอย่างควรมีแต่ก็ไม่มี หรือถูกตัดลด แยกส่วน แม้แต่การพิจารณาความดี ความชอบของพนักงานไม่เสมอภาค

-ยังน้อย สำหรับค่าครองชีพในปัจจุบัน และ น้อยมากเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ทุกคนมี และปริมาณงานที่ปฏิบัติ ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ทั่วไปของคุณวุฒิการศึกษา

-พอเลี้ยงชีพได้

-ไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนไม่เป็นไร พอทำใจยอมรับได้ ตามสภาพเศรษฐกิจ แต่การลดทอนเงินประกันสังคมโดยไม่แจ้งให้พนักงานทราบต้องทำใจยอมรับอย่างมาก

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น

-ควรให้คุณค่าบุคลากรทางการศึกษาผู้ที่มีความสำคัญต่อการปลูกปั้นนิสิต ตามความเหมาะสมเช่นกับมหาวิทยาลัยของรัฐ

-ควรมีการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนประจำทุกปี และในเรื่องสวัสดิการต่าง ๆเล็ก ๆ น้อย ๆ ควรจะให้เป็นขวัญและกำลังใจบุคลากร ไม่ควรมุ่งเน้นกำไรเพราะเราเป็นสถาบันการศึกษาไม่ใช่ธุรกิจ

-ควรพิจารณาความดี ความชอบทุกปี เปิดเผย และโปร่งใส และรักษาบุคลากรให้จงรักต่อองค์กร

-ควรมีการปรับเปลี่ยน โดยกำหนดหลักเกณฑ์ที่เป็นสากลทั่วไป จากประสบการณ์การทำงาน คุณวุฒิการศึกษา กำหนดเป็นฐานในแต่ละระดับให้ชัดเจน ตามกลุ่มงาน มีการกำหนดสิ่งจูงใจที่สามารถทำได้จริงและไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป

-การที่องค์กรจะทำอะไรที่มีผลกระทบต่อเงินเดือนหรือผลประโยชน์ในอนาคตของพนักงาน ควรแจ้งให้พนักงานได้รับทราบกันอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

-องค์การควรกำหนดโครงสร้างค่าตอบแทนที่จูงใจและเป็นธรรม  และฐานเงินเดือนควรเท่ากับงานที่ได้รับ

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า เงินเดือนและผลประโยชน์เกื้อกูล มีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับปานกลาง (2.90)

3. ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานภายใน

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-ไม่ค่อยเอื้อหรือส่งเสริมกันในการทำงานขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่า หน้าที่ของหน่วยงาน

-ยังคงมีความเป็นกันเองบ้าง (บางกลุ่ม) และยังมีต่างคนต่างทำงานของตนเอง

-อยู่ในระดับปานกลาง รู้จักบุคลากรในหน่วยงานเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ แต่มีบางกลุ่มที่ไม่รู้จักกันส่วน บุคลากรที่รู้จักกันก็ทักทาย พูดคุยทั่วไปกันได้

-ยังคงมีการทำงานร่วมกันด้วยดี เนื่องจากความคุ้นเคยกันมานาน

-ขาดการประสานงาน

-ในระดับคณะฯ มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี ส่วนระดับองค์การในสภาพปัจจุบันตามความเห็นบุคลากรของมหาวิทยาลัย ยังขาดพฤติกรรมการมีส่วนร่วม เช่น พฤติกรรมการให้ความช่วยเหลือ พฤติกรรมการสำนึกในหน้าที่ พฤติกรรมการอดทนอดกลั้น  พฤติกรรมการคำนึงถึงผู้อื่น พฤติกรรมการให้ความร่วมมือ

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-ควรจะมีกิจกรรมเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในองค์กร ซึ่งองค์กรของเราเป็นองค์กรเล็ก ๆ  และทำงานร่วมกันมากขึ้น  ประสานงานกันมากขึ้น

-ที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กัน เช่น การแข่งขันกีฬาต้องการให้มีด้วย หรือการชวนเพื่อนๆ รับประทานอาหารกลางวันร่วมกันในมหาวิทยาลัย จัดในพื้นที่โล่งๆ ที่ทุกคนมาร่วมกันได้ ทำอาหารกันเอง ประมาณปาร์ตี้มื้อเที่ยง แต่ละหน่วยงานก็มีอาหารต่างชนิดมาแบ่งกันทาน อย่างน้อยปีละครั้ง 

-สิ่งดีๆ ที่องค์กรเคยมีต้องการให้รักษาภาพบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน

-องค์การควรสร้างความสัมพันธ์อันดีโดยการเรียนรู้ปัจจัยที่เสริมสร้างให้เกิดความผูกพันในองค์กร ประเมินค่าความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรอย่างถูกวิธี พัฒนาแผนการเสริมสร้างความผูกพันในองค์กร  กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างความผูกพันในองค์กรและตอบแทนพนักงานที่ดีด้วยรางวัลที่เหมาะสม

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานภายใน มีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับมาก (3.60)

4. การติดต่อสื่อสาร

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-มีสื่อในการติดต่อหลายช่องทาง (อาจจะมากเกิน) ทำให้ประสบปัญหาในการติดตาม และบางหน่วยงานการสื่อสารยังไม่ชัดเจน อาจกระทบข้อมูล/สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติล่าช้าและเสี่ยงต่อความผิดพลาด

-การติดต่อสื่อสารภายในคณะดีมาก มักไม่พลาดข้อมูลข่าวสารที่ควรทราบในการทำงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่หากเป็นระหว่างหน่วยงานก็มีบ้างที่อาจจะต้องมีการติดต่อหลายครั้งเนื่องจากบุคลากรที่ติดต่อด้วยให้คำตอบไม่ชัดเจน บางครั้งก็มีความซ้ำซ้อน บางเรื่องก็กะทันหัน

-ด้วยความที่เป็นคนเก่า คนแก่ขององค์กรยังคงติดต่อประสานงานกันได้ง่าย

-พูดคุยกันน้อยทำให้ไม่เข้าใจการปฏิบัติที่ชัดเจน

-ในระดับองค์การในสภาพปัจจุบันถึงแม้จะเป็นองค์การเล็ก ๆ แต่มหาวิทยาลัยก็มีปัญหาในเรื่องการสื่อสารไม่ว่าจะเป็น 

   1) ไม่สื่อสารปัญหาอย่างตรงไปตรงมา

   2) ปัญหาการแสดงพฤติกรรมการสื่อสารที่ไม่สร้างสรรค์  

   3) ปัญหาการสื่อสารไม่ครบถ้วน ขาดความชัดเจน   

4) ปัญหาการสื่อสารทางเดียว และขาดการมีส่วนร่วม

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-ควรมีสำนักสื่อสารองค์กรกลางภายในของมหาวิทยาลัยเพื่อกระจายข้อมูลให้เป็นสัดส่วน ชัดเจน แม่นยำ และเป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างราบรื่น

-การสื่อสารทางช่องทางสื่อออนไลน์ ต้องขยายความให้ชัดเจน ไม่ควรเขียนสั้น ๆ หากขยายความมากขึ้นจะทำให้เกิดความชัดเจนในการสื่อสารมากขึ้นและมีการติดต่อสื่อสารให้มากขึ้น

-การติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงาน ควรมีการแจ้งข้อมูลล่วงหน้าเพื่อจะได้แจ้งต่อไปยังผู้เกี่ยวข้อง และระบุประเด็นให้ชัดเจน ในบางครั้งการส่งอีเมล์ถึงผู้เกี่ยวข้องไม่ระบุชื่อเรื่อง หรือประเด็นสำคัญให้ทราบ บางครั้งส่งเข้ากลุ่มรวม ก็ทำให้ข้อมูลตกหล่น หรือบางครั้งบางคราวบางเรื่องสามารถพูดคุยกันทางวาจาได้ก่อน แล้วค่อยยืนยันกันเป็นทางการก็ได้ จะได้ทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัว เตรียมข้อมูลก่อนได้

-จัดมีทติ้งบ่อยๆ สิ่งดีๆ ที่องค์กรเคยมีอยากให้รักษาภาพบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน  และมีการพูดคุยกันมากขึ้นและให้ชัดเจน

-สร้างวัฒนธรรมที่ดีภายในองค์การ วัฒนธรรมทางการสื่อสารอย่างเป็นอิสระ มีความโปร่งใส ชัดเจน ชัดเจน สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง เพื่อสารสื่อสารที่ราบรื่นระหว่างพนักงานภายในองค์กรที่จะส่งผลให้องค์กรเติบโตได้ในอนาคต

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า การติดต่อสื่อสารมีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับปานกลาง (3.40)

5. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-ให้ความเป็นกันเองกับผู้ใต้บังคับบัญชา สามารถเข้าถึงได้กับทุกคนในองค์กร น่ารัก เป็นมิตร ชัดเจน ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ปัญหา หาทางออกร่วมกัน

-ดูแล เอาใจใส่ พูดคุย ชี้แจงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับงานที่ปฏิบัติชัดเจน ให้กำลังใจบุคลากรในคณะอย่างทั่วถึง ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี

-ผู้บังคับบัญชาเข้าใจเนื้องาน ทำให้การทำงานภายในคณะฯ เป็นไปด้วยดี ประทับใจ

-ในระดับองค์การ ผู้บริหารระดับสูงยังคงมีพฤติกรรมเลือกที่รัก มักที่ชัง  ไม่มีความเป็นกันเองกับผู้ใต้บังคับบัญชา

-ยังไม่ค่อยเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเอง

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-ในระดับคณะ ผู้บังคับบัญชาให้ความเป็นกันเองกับผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้งานบางอย่างราบรื่นไปด้วยดี  ในระดับสถาบันผู้บริหารควรจะมาเดินเยี่ยมเยือนบุคลากร ตามอาคารต่าง ๆ บ้าง เพื่อมาดูสภาพความเป็นจริงในแต่ละหน่วยงานเป็นครั้งคราว

-ช่วยกันแก้ปัญหา และหาทางออกร่วมกันตลอดไป

-ผู้บังคับบัญชาควรเข้าใจเนื้องานสามารถสั่งการได้ด้วยความเข้าใจเพื่อให้การทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีไม่ต้องมาแก้ไขงานซ้ำหลายรอบ

-ให้ปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ของตนโดยไม่ก้าวล่วงบทบาทหน้าที่ของผู้อื่น

-ผู้บริหารระดับสูงควรเอาใจใส่ในทุกข์สุข มีความจริงใจ และมีความยุติธรรม ไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา โอบอ้อมอารี เป็นกันเอง สร้างกิจกรรมในกลุ่มสัมพันธ์ต่าง ๆ และยกย่องให้เกียรติ

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา มีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับมาก (4.00)

6. การให้คำปรึกษาแนะนำในการทำงาน

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-รู้สึกประทับใจมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มปฏิบัติงาน ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง และหารือได้กับทุกคน  แต่ระหว่างหน่วยงานในบางครั้งทำได้เพียงแค่ถามไป แต่คำตอบที่ได้ยังไม่ชัดเจน

-เพียงพอตามบรรยากาศ

-ในระดับคณะฯ มีความสัมพันธ์ที่ดี ส่วนระดับองค์การผู้บริหารแทนที่จะมองเห็นความสามารถในตัวบุคคล กลับมองเห็นแต่ข้อผิดพลาดและเวลาที่คนอื่นทำพลาดเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่เปิดโอกาสให้ทำงานที่ท้าทายหรืองานที่เพิ่มขีดความสามารถของบุคคลคนนั้นด้วย

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-ในระดับคณะฯ ปัจจุบันดีอยู่แล้ว มีการให้คำปรึกษา แนะนำในการทำงานตลอดเวลา

-ในการปฏิบัติเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องเฉพาะบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านนั้นควรที่จะต้องเป็นผู้ที่ให้คำตอบหรือให้ความช่วยเหลือผู้อื่นได้จริง ๆ

-ต้องการให้พูดคุยแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น

-สิ่งดี ๆ ที่องค์กรเคยมี ต้องการให้รักษาภาพบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน

-ผู้บริหารสูงสุดควรมีวิสัยทัศน์ ให้คำปรึกษาได้ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงกระตุ้นให้ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างกระตือรือร้นตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่มองเห็นร่วมกัน รวมถึงช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรทุกคน

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า การให้คำปรึกษาแนะนำในการทำงานมีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับมาก (3.80)

7. งานที่ตนเองรับผิดชอบ

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-เหมาะสม อยู่ในระดับที่พอใจ

-งานบางอย่างก็ได้รับมอบหมายแบบปฏิเสธไม่ได้ แต่หากเป็นงานประจำที่ทำอยู่แล้วก็สามารถปฏิบัติได้ตามปกติ มีติดขัดบ้างก็แก้ไขได้ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบหรือเกิดความเสียหาย

-ที่ผ่านมามีงานที่รับผิดชอบชัดเจน จนกระทั่งมีการปิดหลักสูตรก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชัดเจนของงานที่ได้รับมอบหมาย งานภายในคณะ หลักสูตรดำเนินตามตารางงาน แต่บางครั้งจะมีงานด่วนเข้ามาทำให้การทำงานอื่น ๆ ที่กำลังทำอยู่สะดุด หรือต้องหยุดทำไปก่อน เกิดปัญหาทำให้การจัดลำดับความสำคัญของงาน

-เรื่องที่รับผิดชอบไม่ชัดเจน เช่น ประกาศมหาวิทยาลัย  เรื่องโครงสร้างการบริหารมหาวิทยาลัย

-ทำตามหน้าที่  และมีงานมากเป็นบางครั้ง

-มีอยู่แล้ว บางงานไม่ชัดเจนจากนโยบาย

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า งานที่ตนเองรับผิดชอบมีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับมาก (3.50)

8. ความกดดันที่เกี่ยวกับการทำงาน

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-ชินชาอยู่แล้ว ไม่รู้สึกกดดันไปเพื่ออะไรเพราะต่อให้ทำดีก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

-กดดันจากนิสิต ในด้านของสื่อการสอนต่างๆ

-ไม่มีความกดดัน

-มีบ้างในงานที่มีความคาดหวังให้สำเร็จสูง

-งานที่ปฏิเสธไม่ได้จะมีความกดดัน รู้สึกอึดอัด หงุดหงิดใจ ความเร่งรีบด้วยเงื่อนเวลา และถ้าต้องมีการประสานงานไปยังผู้ดูแลหรือรับผิดชอบเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็อาจจะผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับหรือต้องมีการติดต่อกลับไปอีกครั้ง ต้องผ่านการติดต่อหลายส่วน หลายขั้นตอน ต้องรอเวลาและต้องเพิ่มเวลาในการทำงานมากขึ้นซึ่งทำให้เวลาในการพักผ่อนลดน้อยลง

-มีความกดดันในบางครั้งที่การสั่งงานไม่มีความชัดเจน หรือเป็นงานด่วน และการที่มีหัวหน้างานมากกว่า 1 คน สั่งการทำให้การทำงานไม่เป็นไปตามแผน นอกจากนี้การทำงานเน้นสารสื่อสารผ่าน Line มากเกินไปบางครั้งเนื้อหาในการสื่อสารจะขาด ๆ หาย ๆ ทำให้การตีความผิดพลาดได้

-ขาดขวัญและกำลังใจ และงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์เนื่องจากเป็นงานใหม่ต่อผู้ปฏิบัติและขาดระเบียบปฏิบัติ

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-มหาวิทยาลัยควรมีความพร้อมตามแผนการเรียน การสอนโดยเร็ว เพื่อทดแทนภาพจำของนิสิตที่มีอยู่ปัจจุบัน อีกทั้งอาจลดแรงกดดันต่อการปฏิบัติงานในหลักสูตรฯ

-ไม่ควรสร้างความกดดันทำเท่าที่ทำได้

-ควรมีการพูดคุยเบื้องต้น แจ้งงานที่จะต้องทำให้ชัดเจนหรือสอบถามก่อนว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ทำได้หรือไม่ ทำทันตามกำหนดเวลาหรือไม่ หรือมีสิ่งจูงใจอะไรให้บ้างอาจจะเป็นตัวเงินหรือไม่เป็นตัวเงินก็ได้ แต่เพียงพอที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกว่ามีพลังใจในการทำงานต่อไป สำหรับทั้งงานที่อาจจะอยู่นอกเหนือจากงานประจำ หรืองานประจำที่ทำอยู่

-ผู้บริหารควรมีความเข้าใจและมีความชัดเจนก่อนการสั่งงานในแต่ละครั้ง และทำงานตามลำดับขั้นตอนที่มีความชัดเจนเหมาะสมกับลักษณะขององค์กร

-ควรมีระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน

-ผู้บริหารสูงสุดควรรู้จักชื่นชม ชมเชย หรือแสดงความขอบคุณเมื่อบุคลากรทำงานได้ดีมีการให้รางวัลหรือแสดงความชื่นชมให้เป็นที่รับรู้ภายในองค์กร เพื่อสร้างความมั่นใจ สร้างแรงจูงใจในการทำงาน รวมถึงทำให้บุคคลนั้นรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง

-ให้เวลาและมีคนช่วยทำงาน

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า ความกดดันที่เกี่ยวกับการทำงานมีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับปานกลาง (3.30)

9. โอกาสของความเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของแต่ละบุคคล

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-น้อยมาก มองไม่เห็น  ไม่แน่ใจว่าจะมีความก้าวหน้า

-โอกาสการเติบโตจากนโยบายของผู้บริหารน้อยมาก ริบหรี่  ไม่คาดหวัง

-ปัจจุบันองค์การไมมี Career Path ที่ชัดเจน ไม่มีเส้นทางเนื้อหางานและโอกาสในอนาคต เห็นความไม่เท่าเทียมในองค์การ

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-ยังมองไม่เห็นว่าจะปรับเปลี่ยนได้ในระดับบริหารสูงสุด

-ควรมีการวางแผนโอกาสทางการศึกษาต่อของบุคลากรโดยปราศจากเงื่อนไขผูกมัด

-มหาวิทยาลัยควรมีแผนในการแสดงความก้าวหน้าของแต่ละบุคคล

-ผู้บริหารต้องมีความเข้าใจ เปิดโอกาสให้กับบุคลากร ไม่มุ่งเป้าไปในเชิงธุรกิจเพียงอย่างเดียว

-ไม่มี และไม่คาดหวัง 

-องค์การมี Career Path ที่ชัดเจน

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า โอกาสของความเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของแต่ละบุคคลมีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับน้อย (2.60)

10. การได้รับโอกาสในการศึกษา/อบรม/พัฒนาของแต่ละคน

ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

-ทำเท่าที่ทำได้เพื่อตอบโจทย์งานประกันของสาขาเท่านั้น

-ได้รับโอกาสที่ดีจากการอบรมที่มีให้เสมอมา

-เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าร่วมอบรม/สัมมนาในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์

-ดูเหมือนว่าบุคลากรแต่ละคนก็ต้องดูแลตนเอง แสวงหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่มีหน่วยงานกลางที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติม แจ้งแหล่งเรียนรู้ หลักสูตรที่น่าสนใจทั้งมีค่าใช้จ่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย ประชาสัมพันธ์ให้กับบุคลากรได้ทราบหรืออำนวยความสะดวกให้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง

-ได้รับการอบรม/สัมมนาตามที่คณะหรือทางมหาวิทยาลัยกำหนด แบบไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็ไม่ได้คาดหวัง  เพราะมีงบประมาณน้อย

-ปัจจุบันไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีแต่ให้บุคลากรหาเอง

ที่ควรเป็นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

-ควรมีหัวข้อเกี่ยวกับสังคมศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของการจัดอบรมไม่มากก็น้อย

-ให้ทุกคนเข้ารับการอบรม สัมมนา โดยไม่มีขีดจำกัด และมีการไปดูงานต่างจังหวัดบ้าง พร้อมทั้งเพิ่มงบประมาณการอบรมนอกพื้นที่ให้มากขึ้น

-ให้อิสระในการเลือกและสนับสนุนงบประมาณตามความต้องการของแต่ละคน พร้อมทั้งมีหน่วยงานกลางดูแล ไม่ใช่เพียงประสานงานขอข้อมูล

-งบประมาณในการส่งเสริมมีให้ก็จริง แต่ไม่เพียงพองบประมาณที่มีควรสามารถโยกงบหรือบริหารจัดการงบการอบรมภายในหลักสูตรได้

-มีคนช่วยสอนการทำงาน

หมายเหตุ ผลสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรพบว่า โดยเฉลี่ยบุคลากรมีความเห็นว่า การได้รับโอกาสในการศึกษา/อบรม/พัฒนาของแต่ละคนมีผลต่อขวัญและกำลังใจในระดับปานกลาง (2.90)

สรุป

          ขวัญและกำลังใจในการทำงาน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากร และเป็นสิ่งที่ทำให้บุคลากรสามารถอยู่ในองค์การได้อย่างมีความสุข จึงเป็นเรื่องที่ผู้บริหารต้องตระหนักและตอบสนองให้แก่บุคลากร บางประเด็นอาจเป็นเรื่องที่ผู้บริหารสูงสุดระดับคณะ (คณบดี) สามารถสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้ บางประเด็นอาจต้องเป็นผู้บริหารระดับสูง (อธิการบดี) ซึ่งคณบดีอาจต้องหาโอกาสเสนอต่ออธิการบดีเพื่อพิจารณาต่อไป

โพสท์ใน ทั่วไป | ใส่ความเห็น

การเตรียมความพร้อมในการยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ

อาจารย์อดิศักดิ์ จำปาทอง เรียบเรียง

แนวปฏิบัติในการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ เรียบเรียงมาจาก การประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเตรียมความพร้อมในการยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 เดือน พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.00-16.00 น. ผ่านระบบ Google Meet จัดโดย สำนักวิชาการ มหาวิทยาลัยเนชั่น และมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น วิทยากรโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดาวรุ่งรตา วงษ์ไกร ผู้ช่วยอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนักวิชาการ และเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น

กรอบเนื้อหา

1. ระเบียบคณะกรรมการการอุดมศึกษาเกี่ยวกับมาตรฐานหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ
2. แนวปฏิบัติการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ
3. แนวปฏิบัติในการเสนอขอให้พิจารณากลั่นกรอง
4. การยื่นขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ และปัญหา อุปสรรคในการดำเนินการ

องค์ประกอบในการกำหนดตำแหน่งวิชาการ ประกอบด้วย

1. คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง

1.1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ปริญญาตรี ต้องเป็นอาจารย์มาแล้ว 6 ปี
ปริญญาโท ต้องเป็นอาจารย์มาแล้ว 4 ปี
ปริญญาเอก ต้องเป็นอาจารย์มาแล้ว 1 ปี และพ้นการทดลองงานแล้ว

1.2 รองศาสตราจารย์
ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์มาแล้ว 2 ปี

1.3 ศาสตราจารย์
ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์มาแล้ว 2 ปี

2. การประเมินผลการสอน

2.1 มีชั่วโมงสอนประจำวิชาใดวิชาหนึ่งที่กำหนดไว้ในหลักสูตรของสถาบัน ซึ่งเทียบค่าได้ไม่น้อยกว่า 3 หน่วยกิต ในระบบทวิภาค

2.2 เสนอเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบการประเมิน

2.3 คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการของสถาบันทำหน้าที่ประเมินผลการสอนตามข้อบังคับของสภาสถาบัน

2.4 กรณีที่สถาบันเห็นว่ามีระบบการประเมินผลการสอนของคณาจารย์ประจาปีที่ครอบคลุมประเด็นที่กำหนดอาจใช้ระบบประเมินดังกล่าวแทนได้

2.5 อาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อประเมินผลการสอนได้

3. การประเมินผลงานทางวิชาการ จะพิจารณาจาก

3.1 ประเภทของผลงานวิชาการ

3.2 การเผยแพร่

3.3 การมีส่วนร่วมในผลงานวิชาการ

3.4 ความสอดคล้องกับสาขาวิชาที่เสนอขอ

4. วางแผนขอตำแหน่งวิชาการ ประกอบด้วยผลงานดังนี้

4.1 เอกสารประกอบการสอน/เอกสารคำสอน

4.2 งานวิจัย

4.3 หนังสือ/ตารา

4.4 ผลงานใช้สังคมและอื่น ๆ

สิ่งที่ควรพิจารณา

1. ผลงานทางวิชาการทุกประเภท ต้องเป็นผลงานหลังจากได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการเดิมและได้รับการเผยแพร่ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ก.อ.กำหนด

2. แหล่งเผยแพร่ทุกกรณี ต้องผ่านการประเมินคุณภาพโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (peer reviewer) ที่มาจากหลากหลายสถาบัน

3. การกำหนดสาขาวิชาที่แต่งตั้งต้องสอดคล้องกับผลงานที่เสนอขอ โดยพิจารณาจาก 1) ภาระงานสอน 2) ผลงานทางวิชาการที่ใช้ขอ 3) เป็นสาขาที่เป็นระบบสากล แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ ได้รับการยอมรับในวงวิชาการและวิชาชีพสาขาวิชานั้น ๆ ไม่ใช่พิจารณาจาก 1) วุฒิการศึกษา/วิชาเอก/สาขาที่สำเร็จการศึกษา 2) ภาควิชา คณะ หลักสูตรที่สังกัด

4. การขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการในระดับตำแหน่งและสาขาวิชาเดียวกับที่เคยเสนอขอ หากมีการนำผลงานทางวิชาการเดิมที่เคยเสนอขอมาขออีกครั้ง ทั้งนี้ไม่ว่าจะโดยผู้ขอคนเดิมหรือคนใหม่ ให้ใช้ผลการพิจารณาเดิมแต่ละชิ้นที่ผ่านการพิจารณามาแล้วโดยไม่ต้องพิจารณาใหม่ เว้นแต่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่าเป็นผลงานที่ล้าสมัย โดยต้องระบุเหตุผลทางวิชาการโดยชัดแจ้งด้วย

5. จริยธรรมและจรรยาบรรณ

5.1 ต้องมีความซื่อสัตย์ทางวิชาการ ไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ลอกเลียนผลงานของผู้อื่น ไม่นำผลงานของตนเองในเรื่องเดียวกันไปเผยแพร่ในวารสารวิชาการมากกว่า 1 ฉบับในลักษณะที่จะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลงานชิ้นใหม่ ไม่คัดลอกข้อความใด ๆ จากผลงานของตนโดยไม่อ้างอิง ทั้งนี้ ในลักษณะที่จะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลงานใหม่

5.2 ให้เกียรติและอ้างถึงบุคคลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาใช้

5.3 ต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนละเลยหรือละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลของผู้อื่น

5.4 ผลงานวิชาการต้องได้มาจากการศึกษาโดยใช้หลักวิชาการเป็นเกณฑ์ ไม่มีอคติ เสนอผลงานตามความเป็นจริง ไม่จงใจเบี่ยงเบนผลการวิจัยโดยหวังประโยชน์ส่วนตัวหรือต้องการสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่น ไม่ขยายข้อค้นพบโดยปราศจากการตรวจสอบยืนยันในทางวงวิชาการ

5.5 ต้องนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมาย

5.6 หากมีการใช้ข้อมูลจากการทำวิจัยในคนหรือสัตว์ ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการวิจัยในมนุษย์

6. วันที่แต่งตั้ง

6.1 วันที่สภารับเรื่อง = คุณสมบัติและผลงานครบถ้วนตั้งแต่วันที่รับเรื่อง

6.2 วันที่สภาได้รับผลงานฉบับปรับปรุง = กรณีที่มีการปรับปรุงผลงาน (ยกเว้นงานวิจัยและบทความวิชาการ)

6.3 วันที่สภาได้รับผลงานเพิ่มเติม = กรณีที่ส่งผลงาน หลักฐานแหล่งอ้างอิง และหลักฐานความเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการเพิ่มเติม

6.4 วันที่สภาได้รับงานวิจัยหรือบทความวิชาการฉบับเผยแพร่แล้ว = กรณีงานวิจัยหรือบทความวิชาการได้รับหนังสือรับรองจากบรรณาธิการวารสารว่าจะเผยแพร่ให้เมื่อใด ฉบับใด

6.5 วันที่สภารับเรื่องและก่อนวันลาศึกษาต่อ = กรณียื่นขอแล้วและต่อมาได้รับอนุมัติให้ลาศึกษาต่อ หากคุณสมบัติและผลงานอยู่ในเกณฑ์โดยไม่มีการปรับปรุงแก้ไข

6.6 วันที่สภารับเรื่องหรือได้รับผลงานฉบับปรับปรุง/เพิ่มเติม = กรณียื่นขอไว้แล้วและต่อมาถึงกำหนดเกษียณอายุ

โพสท์ใน KM:ด้านการวิจัย, คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ใส่ความเห็น

Upskill, Reskill และ Transferable skills ในโลกการทำงานยุคใหม่

อาจารย์อดิศักดิ์ จำปาทอง เรียบเรียง

การเรียนรู้ตามหลักสูตรจากในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น เข้าใจว่าทุกคนคงเรียนมาเหมือนกันหมด หรือไม่แตกต่างกันมากมาย และความรู้ในแต่ละด้านนี้ บัณฑิตใหม่คงได้เรียนมามากเพียงพอเเล้ว แต่อย่าลืมว่า ในการทำงานจริงนั้น ไม่ได้ใช้ความสามารถเพียงด้านเดียว เราต้องลองหาความรู้ใหม่ ๆ ให้เราสามารถสร้างจุดเด่นให้ตัวเราเอง ซึ่งการลงทุนลองหาความรู้ใหม่ ๆ จะพาให้เราได้ทำอะไรใหม่ ๆ เสมอ เสมือนเป็นโอกาสดี ๆ ที่เราหาได้ นอกจากนี้ เวลาในชีวิตของเเต่ละคนนั้นมีจำกัด เราไม่ควรทำตามความฝันของคนอื่น เราต้องเดินตามฝันของตัวเอง จงคิดไว้เสมอว่า ความรู้ในมหาวิทยาลัยเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เเต่ความรู้อื่น ๆ ที่เราต้องเรียนรู้ยังมีอีกมาก

บัณฑิตใหม่จึงควรที่จะเรียนรู้ 3 คำนี้ไว้ ได้แก่ Upskill, Reskill และ Transferable skills เพื่อเตรียมความพร้อมในโลกการทำงานยุคใหม่

1. Upskill 

เป็นการฝึกทักษะที่มีอยู่แล้วหรือทักษะใหม่ของสายอาชีพที่เรียนมา เพื่อให้เก่งขึ้นและพร้อมทำงานในสายนั้นทันที และเพิ่มโอกาสในการได้งานทำ

2. Reskill 

เป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ เพื่อทำงานนอกสายอาชีพที่เรียนมา เช่น เรียบจบด้านนิเทศศาสตร์ และ Reskill ด้านการตลาด เพื่อเปลี่ยนสายงานไปทำงานด้านการตลาด เป็นต้น

2.1 การสำรวจ Skill ของตนเอง

2.1.1 ในกรณีที่เลือกทำงานในสายที่เรียนมา ต้องถามตัวเองว่า

๐ อยากทำงานในตำแหน่งอะไร หรือตำแหน่งอะไรที่เราสามารถทำได้?
๐ ตำแหน่งดังกล่าว หน่วยงานต้องการคนที่มีทักษะอะไร? เรามีทักษะดังกล่าวหรือไม่?
๐ ถ้าเรามีทักษะไม่เพียงพอ ก็ควรต้อง Upskill นั้น แต่ถ้าไม่มีเลยก็ต้อง Reskill เทียบเท่ากับการเรียนรู้ใหม่ แม้จะเป็นสายที่เรียนมา แต่เรายังไม่เคยเรียนมาก่อน

2.2.2 ในกรณีที่เลือกทำงานนอกสายที่เรียน ต้องถามตัวเองว่า

๐ อยากทำงานสายไหน? ในตำแหน่งอะไร?
๐ ตำแหน่งที่อยากทำ ต้องมีทักษะอะไรบ้าง? และเรามีทักษะเหล่านั้นหรือไม่?
๐ ถ้าเรามีทักษะไม่เพียงพอ ก็ควรต้อง Upskill นั้น แต่ถ้าไม่มีเลย ก็ต้อง Reskill ทั้งหมด ให้พร้อมทำงานในตำแหน่งดังกล่าว

2.2 การสำรวจว่า ตำแหน่งงานที่เราอยากทำ หน่วยงานต้องการทักษะใดบ้าง?

2.2.1 ดูที่ประกาศงานของบริษัทในตำแหน่งที่ต้องการสมัคร ว่าคุณสมบัติที่ต้องการเป็นอย่างไร? ต้องมีทักษะอะไรบ้าง? รวมถึงหน้าที่ในงานนั้นต้องใช้เครื่องมือใดทำงาน ซึ่งเราควรต้องมีทักษะในการใช้เครื่องมือนั้น

2.2.2 การสอบถามรุ่นพี่ที่ทำงานในตำแหน่งนั้น หรือในสายอาชีพนั้น เพื่อทราบข้อมูลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น ตำแหน่งนักประชาสัมพันธ์ เน้นการใช้โปรแกรมใด คำสั่งไหนในการทำงาน ถ้าเราเตรียมพร้อมและทำได้อย่างคล่องแคล่ว โอกาสได้งานก็สูงมาก

การเตรียมทักษะในการทำงาน บัณฑิตใหม่ควรมีทักษะที่พร้อมทำงานในตำแหน่งนั้น ก่อนไปสมัครงาน เพื่อหน่วยงานจะได้ลดภาระในการสอนงานลงไป

3. Transferable Skills

คือ ทักษะในการทำงานที่สามารถนำไปใช้ต่อหรือต่อยอดได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร หรือเปลี่ยนสายงานไปทำอย่างอื่น ก็ยังจะสามารถนำ Transferable Skills ไปใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพและโดดเด่นขึ้นได้ มีความพิเศษตรงที่จะทำให้เราเป็นคนที่ยืดหยุ่นสูง และเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ ซึ่งแต่ก่อนมักจะเป็นสกิลที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจ แต่เดี๋ยวนี้ที่เทคโนโลยีทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้ง่าย ทำให้ Transferable Skills เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง

Transferable Skills ได้แก่ทักษะอะไรบ้าง?

3.1 Creativity หรือ ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถนำไปสู่การสร้างแก้ปัญหาที่ฉลาดมากขึ้น หรืออาจเลยไปถึงการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาได้

3.2 Critical Thinking หรือ ทักษะการคิดเป็นเหตุเป็นผล สามารถคิดวิเคราะห์ ลำดับความสำคัญได้ดี 

3.3 Problem Solving หรือ ทักษะการแก้ปัญหา ทั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แล้วปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้น สามารถวางแผนจัดการกับปัญหาและควบคุมอารมณ์ตัวเองได้

3.4 Communication หรือ ทักษะการสื่อสารที่สามารถสื่อสารได้เข้าใจง่าย และครบถ้วน ตรงประเด็น เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกคน

3.5 Presentation Skills หรือ ทักษะการนำเสนอ ทั้งการนำเสนอและไอเดีย เพื่อให้คนอื่นสามารถเข้าถึงได้และเข้าใจได้ง่าย และน่าสนใจ

3.6 Teamwork หรือ ทักษะการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันกับคนอื่นได้ดี ที่จะนำไปสู่การเสริมจุดเด่น และลบจุดด้อยให้กับทีม เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

3.7 Digital Literacy หรือ ทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งในแง่ของอุปกรณ์ เช่น คอนพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต รวมถึงโปรแกรมและ Social Media ต่าง ๆ โดยสามารถเข้าใจการทำงาน และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำงาน

3.8 Ability to learn new things หรือ ทักษะการเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ พร้อมเปิดรับความรู้ใหม่ ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ มีความใส่ใจ และหมั่นหาความรู้ Upskill และ Reskill ของตัวเองอยู่เสมอ

เรียบเรียงจาก:

1. ประสบการณ์ของผู้เรียบเรียง

2. เทคนิคการ Upskill & Reskill ให้ตรงความต้องการนายจ้าง ฉบับเด็กจบใหม่

https://www.jobbkk.com/variety/detail/5899/เทคนิคการ Upskill&Reskill ให้ตรงความต้องการนายจ้าง ฉบับเด็กจบใหม่

3. เด็กจบใหม่ต้องฟัง Transferable skills สกิลจำเป็นที่ไม่มีสอน แต่บริษัทต้องการ

เด็กจบใหม่ต้องฟัง Transferable skills สกิลจำเป็นที่ไม่มีสอน แต่บริษัทต้องการ

โพสท์ใน KM:ด้านการผลิตบัณฑิต, การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ, คณะนิเทศศาสตร์ | ใส่ความเห็น

แนวทางการนําเสนอผลงานวิจัยด้วยวาจา (Oral Presentation)

อาจารย์อดิศักดิ์ จำปาทอง เรียบเรียง

เป็นงานที่นักวิจัยต้องเตรียมตัวให้มีความพร้อมทั้งด้านความเชื่อมั่นในตนเอง ความลึกซึ้งในสาระที่จะนําเสนอ และต้องมีทักษะของการนําเสนอ การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้นักวิจัยประสบความสําเร็จได้ โดยการนําเสนอที่มีประสิทธิภาพ พิจารณาจากความสามารถของใช้เทคนิควิธีการสื่อสารที่ทําให้ผู้ฟังสนใจ ผู้ฟังเข้าใจในเรื่องที่นักวิจัยนําเสนอ ภายในเวลาที่กําหนด

การฝึกซ้อมการนําเสนอ เป็นเรื่องจําเป็นสําหรับนักวิจัยมือใหม่ทุกคน และการซักซ้อมเตรียมการนําเสนอแต่ละครั้ง ก็เป็นเรื่องจําเป็นมากสําหรับนักวิจัยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก่า ทั้งนี้ เพราะสิ่งที่นําเสนอคือการค้นพบความรู้ใหม่ หรือวิธีใหม่ หรือการประยุกต์ความรู้ในสถานการณ์ใหม่ และเหนือสิ่งอื่นใดคือ กลุ่มคนฟังเป็นกลุ่มใหม่ นักวิจัยจึงไม่ควรมองข้ามความจําเป็นของการเตรียมพร้อมเพื่อให้การนําเสนอเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การนําเสนอผลงานวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องดําเนินการอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้

1. การเตรียมการนําเสนอ

สถานการณ์ในการนําเสนอผลงานวิจัย เสมือนการประชุมที่ผู้เข้าประชุมมาด้วยความตั้งใจ เขามาเพื่อฟังผลงานของเรา ฟังในเวลาที่กําหนด ดังนั้น ผู้นําเสนอจําเป็นต้องเตรียมให้พร้อม ไม่ให้ผู้ฟังผิดหวัง นั่นหมายถึง ผู้รายงานเองจะได้รับเกียรติและสมหวัง โดยมีการเตรียมตัว ดังนี้

1.1 การวางแผนการนําเสนอที่ดี ทบทวนงานวิจัยที่จะนําเสนออย่างเข้าใจ คํานึงถึงเวลาที่กําหนดให้ในการนําเสนอ

1.2 การเตรียมการพูด เช่น กล่าวแนะนําตัว กล่าวแนะนําโครงการวิจัย ให้มีสาระเพียงพอที่จะให้ผู้ฟังเข้าใจว่า โครงการที่นําเสนอ คือเรื่องที่อะไร เกี่ยวกับอะไร มีความสําคัญอย่างไรที่ทําให้นักวิจัยทําวิจัยเรื่องนี้ คําถามวิจัยที่ต้องการหา คําตอบคืออะไร นักวิจัยคาดหวังจะนําคําตอบหรือผลการวิจัยไปทําให้เกิดประโยชน์อย่างไร

1.3 การเตรียมเนื้อหาของการนําเสนอ เช่น วัตถุประสงค์ของการวิจัย กรอบความคิดเชิงทฤษฎี สรุปการค้นคว้า อ้างอิงหลักการหรือทฤษฎีที่คัดสรร คําศัพท์เฉพาะ กระบวนการวิจัยในการหาคําตอบทําอย่างไร การจัดการข้อมูล มีวิธีการอย่างไรที่จะตอบคําถามวิจัย ได้ผลการสรุปการวิเคราะห์อย่างไร

1.4 การเตรียมรายงานถึงสรุปผลการวิจัย เป็นการสรุปผลวิจัยเป็นองค์ความรู้ที่ได้จากการใช้ข้อมูลมาอธิบาย หรือเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ การเสนอความเชื่อมโยงระหว่างผลการวิจัยกับวัตถุประสงค์หรือสมมุติฐานของการวิจัย การชี้ประเด็นให้เห็นประโยชน์ที่น่าจะได้จากผลการวิจัย และเสนอแนวทางการค้นหาความรู้ที่ยังขาด เพื่อเติมเต็มความรู้และประโยชน์ เป็นแนวทาง การวิจัยครั้งต่อไปอย่างเหมาะสม และเป็นไปได้ ทั้งนี้ควรมีความเชื่อมโยงกับหลักการหรือทฤษฎี และความ คาดหวังที่ได้กล่าวมาแล้ว

1.5 การเตรียมการตั้งคําถาม หรือ เชิญชวนให้ผู้ฟังตั้งคําถาม ซึ่งจําเป็นต้องมีแผนจัดการกับเวลาที่กําหนด จึงจะมีโอกาสให้ตั้งคําถามได้

1.6 การเตรียมสื่อการนําเสนอ โดยสื่อที่นักวิจัยใช้มีหลายชนิด เช่น เครื่องฉายข้ามศีรษะ สไลด์-คอมพิวเตอร์ วิดีโออุปกรณ์ และเอกสารสรุปย่อ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้วิจัยต้องเลือกให้เหมาะสมกับความถนัดของตน และ สามารถจัดหาได้ใน เวลาที่นําเสนอ โดยมีหลักว่า เรียบง่าย ชัดเจน และเหมาะสม และนักวิจัยต้องซ้อมจนคล่อง ต้องมั่นใจว่า เวลานําเสนอ สามารถจัดการหากมีปัญหาต้อง สามารถแก้ไขได้

ในปัจจุบันสื่อที่ใช้ในการนำเสนอผลงานส่วนใหญ่ใช้ไลด์ PowerPoint โดยนักวิจัยจะต้องเตรียม ดังนี้

1.6.1 ออกแบบรูปแบบของสไลด์ โดยเลือกเนื้อหาสาระที่สําคัญไปนําเสนอเท่านั้น โดยปกติหากใช้เวลานําเสนอ 10-30 นาที สไลด์ไม่ควรเกิน 20 แผ่น ซึ่งประกอบด้วย 1. ชื่อเรื่องและชื่อผู้วิจัย 2. ความเป็นมาหรือปัญหาการวิจัย 3. ความสําคัญและประโยชน์ของการวิจัย 4. วัตถุประสงค์การวิจัย 5. ระเบียบวิธีวิจัย กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล 6. ผลการวิจัย 7. อภิปรายผล 8. ข้อเสนอแนะจากการวิจัย

1.6.2 ภาพเคลื่อนไหว (Animation) หรือรูปภาพ ต้องใช้ภาพเคลื่อนไหว (Animation) หรือรูปภาพบ้าง เพื่อดึงดูดความสนใจ แต่ไม่ควรมีมากเกินไป ผู้วิจัยต้องตระหนักว่าผู้ฟังต้องการฟังเนื้อหามากกว่า

1.6.3 ตัวอักษร ควรเลือกชนิดและขนาดตัวอักษรให้เหมาะสมกับตําแหน่งที่ผู้เข้าประชุมจะเห็นได้ชัด หากใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด เพราะทําให้อ่านยาก และไม่ควรใช้ชนิดของตัวอักษรมากกว่า 2 ชนิด หากต้องการ เน้นคําให้ใช้ตัวหนาดีกว่าใช้สีตัวอักษรที่แตกต่างกัน ควรใช้สัญลักษณ์ให้น้อยที่สุด และควรพิสูจน์อักษรอย่าให้มีคําผิด

1.6.4 ใช้สีพอเหมาะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป และใช้โทนสีพื้นที่ช่วยให้สามารถตัวอักษรได้เด่นชัด

1.6.5 ข้อความ จํานวนข้อความต่อหนึ่งสไลด์ ไม่ควรมีมากเกินไปและหลีกเลี่ยงการนําตารางหรือข้อความจากบทความวิจัยมาวางลงบนสไลด์

1.6.6 ตรวจทานความถูกต้อง ควรมีการตรวจทานการสะกดคําในทุกสไลด์ให้ถูกต้องโดยไม่ให้มีคําผิดปรากฏอยู่

2. การนําเสนอ

2.1 การควบคุมสติ มีความเชื่อมั่น ไม่ประหม่า ทั้งนี้ เป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับผลการฝึกซ้อมมาก บางคนที่รู้ตัวว่ามักขาดความเชื่อมั่นเมื่อมีผู้ฟังจํานวนมาก ก็จําเป็นต้องฝึกซ้อมกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน หรือหาประสบการณ์จากการเข้าประชุมหลายที่ผู้เขียนรู้จักนักวิจัยที่มีประสบการณ์การนําเสนอหลายเวที มีความเชื่อมั่นมาก และมีทักษะมาก

2.2 การวางตัว วางท่าทาง โดยเฉพาะการวางมือเช่นเดียวกับบุคลิกภาพที่สง่า ย่อมเกิดจากความเชื่อมั่นในตนเอง ดังนั้นการฝึกซ้อมที่มากพอจะสร้างบุคลิกภาพที่สง่าได้

2.3 การแต่งกาย เป็นเรื่องที่มักละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า นักวิจัยรู้เรื่องนี้แล้ว ไม่จําเป็นต้อง กล่าวถึง แต่หลายครั้งที่พบว่า การที่ผู้นําเสนอไม่ได้ให้ความสําคัญกับการแต่งตัว ก็ลดทอนความสง่าได้ นอกจากนี้ มีกรณีที่พบว่า ความไม่พิถีพิถันและรอบคอบอาจทําให้กระทบกับความเชื่อมั่นได้

2.4 การควบคุมเวลา ถึงแม้นักวิจัยจะเตรียมการในการวางแผนอย่างดีแล้วก็ตาม ในสถานการณ์ จริงของการนําเสนอ นักวิจัยจําเป็นต้องควบคุมเวลา ให้สามารถพูดในสาระสําคัญได้ครบถ้วน

3. การประเมินเพื่อพัฒนาการนําเสนออย่างมีประสิทธิภาพ

นักวิจัยมักจะประเมินด้วยการสังเกตตนเอง และปฏิกิริยาของผู้ฟัง และบรรยากาศโดยรอบ ในห้องประชุม แต่การประเมินมักมีการประเมินอย่างเป็นระบบเพื่อประโยชน์ต่อผู้นําเสนอ ควรออกแบบการ ประเมินที่จะได้สารสนเทศสนองต่อนักวิจัยที่จะนําไปพิจารณาปรับปรุงการนําเสนอครั้งต่อไป

ข้อพึงปฏิบัติการนําเสนอที่มีประสิทธิภาพ

1. การเตรียมนําเสนอ ควรมีการวางแผน กําหนด โครงสร้างสาระที่จะนําเสนอ มีลําดับและความสอดคล้องตลอด เรื่องที่นําเสนอ

2. เวลา ควรวางแผนเวลาที่ใช้ในการนําเสนอ แต่ละหัวข้อประมาณ 1-2 นาที

3. การเตรียมตัว มีการเตรียมการนําเสนอ ฝึกฝน การพูดให้กระชับ ชัดเจน ซ้อมพูดและจับเวลาในทุกหัวข้อ ปรับ สาระและการพูดให้ตรงประเด็น กระชับ

4. สื่อการนําเสนอ วางแผนการใช้สื่อให้พอเหมาะ กับสาระ ทั้งจํานวนและเวลาในการนําเสนอ

5. เนื้อหา ควรปรับเนื้อหาให้ตรงประเด็น กระชับ อ่านง่ายและควรคํานึงถึงคนฟังด้วย

6. การพูด ควรออกเสียงชัดเจน จังหวะเหมาะสม ไม่รีบร้อนและลนลานจนเกินไป

7. จุดหมาย ควรชี้แจงถึงจุดหมายของการนําเสนอ อธิบายถึงเหตุผลของการวิจัยอย่างชัดเจน

8. ผู้ฟัง การนําเสนอควรเน้นการสร้างความเข้าใจแก่ผู้ฟัง มีวิธีที่ให้ผู้ฟังเข้าใจในเรื่องที่ซับซ้อน

ข้อไม่พึงปฏิบัติที่การนําเสนอที่ไม่มีประสิทธิภาพ

1. การอ่าน อย่าอ่านเอกสารแทนการพูด ควรเตรียมการพูดก่อนการนําเสนอ

2. อุปกรณ์ ควรมีการฝึกนําเสนอในอุปกรณ์ที่ตนเองถนัด หรือฝึกฝนจนเกิดความคล่องแคล่ว

3. ข้อมูล อย่านําเสนอตารางที่มีข้อมูลมากมายที่ยังไม่ได้วิเคราะห์ หรือมีรายละเอียดเกิน ความจําเป็นของการอธิบายสาระ

4. ความซับซ้อน อย่านําเสนอเนื้อหาที่มีความซับซ้อน ควรแสดงเฉพาะส่วนที่เข้าใจได้ง่าย และได้สรุปตีความที่ตรงประเด็น

5. สื่อ อย่าใช้สื่อหลายอย่างที่ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง รวมถึงลูกเล่นต่าง ๆ ใช้เท่าที่จําเป็น

6. การพูด ไม่ควรใช้วาจายกตน ชมตนเอง หรือดูถูกผู้ฟัง

7. เวลา อย่าใช้เวลาเกินกําหนด เพราะเป็นการแสดงถึงการไม่เตรียมพร้อมในการนําเสนอ

ข้อมูลจาก:

1. ประสบการณ์ของผู้เรียบเรียง

2. กลุ่มพัฒนาบุคคล กองการเจ้าหน้าที่ กรมพัฒนาที่ดิน

http://www1.ldd.go.th/WEB_PSD/knowledge/knowledge/2556/bt-bc/3/2.pdf

3. แนวปฏิบัติที่ดีในการนำเสนอผลงานวิจัยด้วยวาจาในที่ประชุมวิชาการนานาชาติ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สายวรุณ จำปาวัลย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุสาห์ภรณ์ สุขารมณ์ ภาควิชาภาษาตะวันตก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

http://west.hu.swu.ac.th/Portals/13/files/action57_1.pdf

โพสท์ใน KM:ด้านการวิจัย, คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ใส่ความเห็น

การเขียนรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์

อาจารย์อดิศักดิ์ จำปาทอง เรียบเรียง

เมื่อได้ดำเนินการวิจัยจนเสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือ การเขียนรายงานวิจัย การเขียนรายงานหมายถึง การเสนอผลงานที่ได้ศึกษา ค้นคว้ามาแล้ว และได้พบความจริง หรือได้รับความรู้ใหม่ ๆ ประการใดบ้าง การรายงานเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้รู้ว่า ในการทำวิจัยนั้น มีปัญหาอะไร และมีประโยชน์อย่างไรแทนการที่จะต้องไปศึกษาใหม่ทั้งหมด

การเขียนรายงานนั้นแตกต่างจากการเขียนเรียงความ หรือบทความเพื่อแสดงความคิดเห็น แต่การเขียนรายงานการวิจัยนั้นจะต้องเป็นไปตามระเบียบปฎิบัติของการวิจัย เป็นการเตรียมการ และเผยแพร่ผลงานวิจัย เพื่อให้ผู้สนใจอื่น ๆ ศึกษาหรือทำซ้ำได้ การเขียนวิจัยจะต้องเขียนตามรูปแบบ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ถูกต้อง และรวบรวมอย่างมีระบบ ดังนั้น การเขียนรายงานวิจัยจึงควรเขียนบรรยายตามข้อเท็จจริง ตามที่ได้ศึกษามา โดยการใช้ภาษาง่าย ๆ และตรงไปตรงมา มีการลำดับเหตุการณ์ และกระบวนการอย่างชัดเจน ข้อความนั้น ๆ จะต้องสามารถทำให้ผู้อ่านเห็นภาพได้อย่างชัดเจน

การเขียนรายงานวิจัยนั้น เป็นการเขียนอย่างมีแบบแผนที่เป็นสากลนิยม ซึ่งผู้เขียนจะต้องใช้เวลาศึกษาให้เข้าใจเป็นอย่างดี และทำได้ถูกต้อง มีรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็นกฎเกณฑ์ของการทำวิจัย เช่น การกำหนดบท การย่อหน้า การเว้นขอบ การเขียนตาราง การอ้างอิง การเขียนเชิงอรรถ และการใช้การอ้างอิงอย่างมีเหตุผล และเป็นระบบมีการวิจารณ์ วิเคราะห์ และเสนอแนะ และนำเสนอผลการวิจัย ซึ่งผู้วิจัยจะต้องพิจารณาว่าจะเขียนรายงาน และสำเสนอผลในรูปแบบใด ที่จะทำให้งานวิจัยนั้นน่าสนใจมากที่สุด และทำให้ผู้อื่น หรือผู้สนใจอ่านเข้าใจได้ง่าย ความจริงแล้ววิธีการเขียนรายงานวิจัยนั้น สามารถเขียนได้หลายวิธีสุดแล้วแต่ว่าผู้วิจัยจะกำหนดออกมาในลักษณะใด อย่างไรก็ตามถึงแม้นว่ารูปแบบ และโครงสร้าง ของการเขียนในแต่ละบุคคล และแต่ละสถาบันจะแตกต่างกันตามความนิยม แต่ส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีมาตรฐานร่วมกันอยู่บ้าง ซึ่งผู้วิจัยจะต้องพิจารณาว่าจะเขียนรายงาน และนำเสนอผลในรูปแบบใด ที่จะทำให้งานวิจัยนั้นน่าสนใจมากที่สุด และทำให้ผู้อื่น หรือผู้สนใจอ่านเข้าใจได้ง่าย ความจริงแล้ววิธีการเขียนงานวิจัยนั้น สามารถเขียนได้หลายวิธีสุดแล้วแต่ว่า ผู้วิจัยจะกำหนดออกมาในลักษณะใด อย่างไรก็ตามถึงแม้นว่ารูปแบบ และโครงสร้างของการเขียนในแต่ละบุคคล และแต่ละสถาบัน

โดยทั่วไปจะยึดตามหลักสากลว่า ส่วนประกอบของรายงานการวิจัยแบบฉบับสมบูรณ์ มักจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน ดังนี้

1. ส่วนนำ

ส่วนนำเป็นส่วนที่ให้รายละเอียดก่อนที่จะเข้าสู่ส่วนของเนื้อความ ซึ่งประกอบด้วย

1.1 ปกนอก เป็นส่วนแสดงรายละเอียดของชื่อเรื่องงานวิจัย ชื่อผู้วิจัย สถานที่ทำวิจัย และปีที่ทำวิจัย

1.2 ปกใน แสดงรายละเอียดเหมือนกับปกนอกทุกประการ

1.3 หน้าอนุมัติ (เฉพาะวิทยานิพนธ์/ การค้นคว้าอิสระ) เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการอนุมัติให้งานวิจัยที่เป็นวิทยานิพนธ์/ การค้นคว้าอิสระเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร ในหน้านี้จะมีคณะกรรมการควบคุมการทำวิทยานิพนธ์/ การค้นคว้าอิสระ และคณะกรรมการสอบ ปรากฏชื่อพร้อมลายเซ็น

1.4 คำนำ หรือกิตติกรรมประกาศ เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในการทำวิทยานิพนธ์/ การค้นคว้าอิสระ โดยทั่วไปการเขียนคำนำ หรือกิตติกรรมประกาศ ผู้วิจัยควรขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในการทำวิจัยตามลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย

1.5 บทคัดย่อ เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย ชื่อที่ปรึกษา (ถ้ามี) แหล่งทุน (ถ้ามี) วัตถุประสงค์การวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยแบบย่อ และผลของการวิจัยซึ่งส่วนใหญ่จะเขียนประมาณ 1–2 หน้า และต้องเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษประกอบกัน

1.6 สารบัญ สารบัญตาราง และสารบัญภาพประกอบ เป็นส่วนแสดงรายละเอียดของหัวข้อเนื้อหา ตาราง และภาพประกอบ พร้อมกับมีการระบุหมายเลขหน้าที่มีหัวเรื่อง ตาราง และภาพประกอบเหล่านี้ปรากฏอยู่

1.7 อักษรย่อและสัญลักษณ์ เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอักษรย่อและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการวิจัย

อย่างไรก็ตาม หากอักษรย่อและสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิจัยเหล่านี้ไม่ปรากฏในส่วนบทที่ 1 (บทนำ) บทที่ 2 (เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง) และบทที่ 3 (วิธีดำเนินการ) ผู้วิจัยอาจนำอักษรย่อและสัญลักษณ์ที่ช่วยในการแปลผลการวิจัยไปไว้ในบทที่ 4 ก่อนแสดงเนื้อหาผลการวิเคราะห์ข้อมูล ก็ได้

2. ส่วนเนื้อความ

ส่วนเนื้อความเป็นส่วนสำคัญที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการทำวิจัยทั้งหมด โดยส่วนใหญ่งานวิจัยจะแบ่งเป็น 5 บท ดังนี้

2.1 บทที่ 1 บทนำ จะแสดงรายละเอียดตามหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้

2.1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เป็นส่วนที่แสดงต้นตอของปัญหาในการวิจัยว่าเกิดจากอะไร โดยอาจจะเขียนจากมุมกว้างไปสู่มุมที่แคบลง เขียนอย่างสมเหตุสมผล และสำคัญที่สุด ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย

2.1.2 วัตถุประสงค์ หรือความมุ่งหมายของการวิจัย เป็นส่วนที่บอกวัตถุประสงค์ว่างานวิจัยเรื่องนี้ต้องการศึกษาอะไร

2.1.3 ขอบเขตของการวิจัย เป็นส่วนแสดงขอบเขตของประชากร และขอบเขตของเนื้อหาหรือตัวแปรที่เราสนใจศึกษา

2.1.4 ข้อตกลงเบื้องต้น (ถ้ามี) เป็นส่วนที่แสดงความเชื่อ แนวคิด และทฤษฎีที่นำมาใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้

2.1.5 สมมติฐาน (ถ้ามี) เป็นส่วนที่แสดงว่า ก่อนลงมือปฏิบัติการวิจัยนั้น ผู้วิจัยได้คาดเดาคำตอบการวิจัยไว้ว่าอย่างไร ถ้างานวิจัยเป็นงานเชิงเปรียบเทียบ เชิงหาความสัมพันธ์/ สาเหตุ จำเป็นที่ผู้วิจัยจะต้องกำหนดสมมติฐานไว้ล่วงหน้า แต่หากเป็นงานวิจัยเชิงสำรวจผู้วิจัย ก็ไม่จำเป็นต้องใส่สมมติฐาน

2.1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ เป็นส่วนที่แสดงการอธิบายศัพท์บางคำที่ใช้กับงานวิจัยเรื่องนี้ โดยทั่วไปจะเป็นศัพท์เฉพาะสาขาวิชาที่ผู้อื่นไม่ค่อยรู้จัก หรือเป็นศัพท์ที่ใช้เฉพาะในการวิจัยเรื่องนี้

2.1.7 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย เป็นส่วนที่แสดงประโยชน์ที่ได้จากงานวิจัย เรื่องนี้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ (ก) ประโยชน์ในเชิงวิชาการ คือ ประโยชน์ที่ได้ค้นพบจากการทำวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งสามารถดูได้จากวัตถุประสงค์ของงานวิจัยว่า เราได้องค์ความรู้อะไรบ้าง และ (ข) ประโยชน์ในการนำไปใช้ คือ ประโยชน์สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องว่าจะนำผลการวิจัยไปใช้ในด้านใดบ้าง

2.2 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

เป็นส่วนที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎีในเนื้อหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ในการเขียนจะเขียนส่วนที่เป็นแนวคิดและทฤษฎีก่อน แล้วจึงตามด้วยส่วนที่เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม การเขียนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หัวข้อต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ต้องสัมพันธ์กับงานวิจัย ผู้วิจัยควรเขียนในแนวการวิเคราะห์สังเคราะห์โดยในการเขียนต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาและเขียนการอ้างอิงที่ถูกต้องตามหลักการเขียนการอ้างอิง และควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ๆ

2.3 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย

เป็นส่วนที่แสดงรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินการวิจัยตามหัวข้อต่อไปนี้

2.3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง/ แหล่งข้อมูล เป็นส่วนแสดงรายละเอียดว่า ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้หมายถึงใครบ้าง ขอบเขตถึงไหน หากมีการใช้กลุ่มตัวอย่างต้องแสดงว่าได้กลุ่มตัวอย่างมาโดยการสุ่มแบบใด และมีจำนวนหน่วยตัวอย่างเท่าไร และต้องพิจารณาว่ากลุ่มตัวอย่างที่ใช้สามารถให้ข้อมูลตามตัวแปร หรือวัตถุประสงค์ที่สนใจศึกษาครบทั้งหมดหรือยัง

2.3.2 เครื่องมือในการวิจัย เป็นส่วนแสดงรายละเอียดว่ามีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยกี่ชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะเป็นอย่างไร มีวิธีการดำเนินการสร้างอย่างไร มีการหาคุณภาพและได้ผลเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือในการวิจัยผู้วิจัยอาจใช้วิธียืมจากงานวิจัยอื่นที่มีการสร้างและมีคุณภาพมาใช้ในงานวิจัยได้ โดยอาจมีการหาคุณภาพซ้ำอีกครั้งก่อนนำไปรวบรวมข้อมูลจริงต่อไป

2.3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลว่า ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละขั้นตอนอย่างไร ในแต่ละขั้นตอนใช้เครื่องมือชุดไหนในการเก็บรวบรวมข้อมูล และใครเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งการรวบรวมข้อมูลต้องครอบคลุมวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษาทั้งหมดด้วย

2.3.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดในการทำวิจัยเรื่องนี้ ผู้วิจัยอาจแบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้เป็น 2 ส่วน คือ (ก) การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ และ (ข) การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลการวิจัย

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยบางเรื่องอาจมีเกณฑ์ในการแปลผลการวิเคราะห์ ผู้วิจัยสามารถเขียนต่อท้ายจากหัวข้อการวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ได้เลย

2.4 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

จะเป็นการแสดงรายละเอียดการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ตั้งไว้ การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลจะเขียนตามลำดับวัตถุประสงค์ในการวิจัย

ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล อาจนำเสนอในรูปข้อความ ข้อความกึ่งตาราง หรือตาราง หรือรูปภาพก็ได้ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตามในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยจะต้องนำเสนอผลการวิเคราะห์ไปตามความจริง การแปลผลควรแปลผลเฉพาะประเด็นสำคัญ ไม่เขียนวกวนซ้ำซ้อน ต้องระมัดระวังการคัดลอกตัวเลขและการแปลความ และที่สำคัญห้ามนำความคิดเห็นของผู้วิจัยเข้าไปอธิบายประกอบ

บางครั้งในการวิเคราะห์ข้อมูลอาจมีอักษรย่อและสัญลักษณ์จำนวนมาก ผู้วิจัยอาจนำเสนออักษรย่อและสัญลักษณ์ก่อนที่จะนำเข้าสู่การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลก็ได้

2.5 บทที่ 5 บทสรุป

เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับบทสรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ซึ่งเป็นบทสุดท้ายในส่วนของเนื้อความ รายละเอียดของบทนี้ ประกอบด้วย

2.5.1 สรุปผลการวิจัย เป็นส่วนแสดงบทสรุปความสำคัญจากงานวิจัย โดยส่วนใหญ่จะแสดงวัตถุประสงค์งานวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย และผลการวิจัยที่ค้นพบ ในหัวข้อนี้จะเป็นการเขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่นำเสนอตัวเลขทางสถิติที่ซับซ้อน โดยถือว่าเป็นสรุปสาระสำคัญของการทำวิจัยเรื่องนั้นจริง ๆ

2.5.2 อภิปรายผล เป็นส่วนแสดงการให้เหตุผลว่าทำไมงานวิจัยจึงได้ผลเช่นนั้น ข้อค้นพบเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ ในการอภิปราย ผู้วิจัยควรอภิปรายผลการวิจัยโดยอาศัยแนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยต่าง ๆ ที่ได้สรุปไว้ในบทที่ 2 ว่าผลการวิจัยมีความเหมือนความต่างจากงานวิจัย หรือจากแนวคิดทฤษฎีของผู้อื่นที่ได้สรุปไว้ในบทที่ 2 อย่างไรในการอภิปรายผลผู้วิจัยสามารถใช้ความคิดเห็นส่วนตัวประกอบได้

2.5.3 ข้อเสนอแนะ เป็นส่วนของการนำเสนอความคิดเห็นของผู้วิจัยให้ผู้อ่านทราบว่าเมื่อนำงานวิจัยเรื่องนี้ไปใช้ ผู้วิจัยจะมีข้อเสนอแนะอะไรบ้าง และหากจะวิจัยในครั้งต่อไปผู้วิจัยจะเสนอแง่มุมให้นักวิจัยคนอื่นอย่างไร โดยทั่วไปหัวข้อของข้อเสนอแนะจะแบ่งเป็น 2 หัวข้อ คือ (ก) ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้ และ (ข) ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป

3. ส่วนประกอบตอนท้าย

เป็นส่วนอ้างอิงและสนับสนุนเพื่อให้งานวิจัยเรื่องนี้ให้มีความน่าเชื่อถือ มีรายละเอียดตามหัวข้อต่าง ๆ

เรียบเรียงจาก:

1.ประสบการณ์ของผู้เรียบเรียง

2. การเขียนรายงานการวิจัย

http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~jaimorn/re10.htm

3. สน สุวรรณ

https://www.researcherthailand.co.th/การเขียนรายงานการวิจัย/

โพสท์ใน KM:ด้านการวิจัย, คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ใส่ความเห็น

อัพเดท DaVinci Resolve version 17

อาจารย์สิทธิโชค โควาบุญพิทักษ์ เรียบเรียง


DaVinci Resolve version 17 ได้สร้างแอปพลิเคชันรวบรวมการแก้ไข การจัดระดับสี การตัดต่อภาพยนตร์ การตกแต่งเสียง การทำกราฟฟิก  โดยการสร้างรวมไว้ในแอปพลิเคชันเดียว

DaVinci Resolve 17

มีการแก้ไขคุณสมบัติใหม่ที่สำคัญ ได้แก่

Fairlight Audio Core เป็นเอ็นจิ้นที่ล้ำสมัย ใช้เวลารวดเร็วที่จัดการเวิร์กโหลด โดยใช้คอร์และเธรด CPU ทั้งหมดรวมถึงการ์ด Fairlight Audio Accelerator ที่เป็นอุปกรณ์เสริม สิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถจัดการแทร็ก EQ ได้มากถึง 2000 แทร็ก, มีโปรเซสเซอร์ไดนามิกและ 6 ปลั๊กอินสำหรับแต่ละแทร็กในระบบเดียว

  • การจัดการสีขั้นสูง
  • การซิงค์คลิปกล้องหลายตัวที่ง่ายขึ้น
  • สำหรับเวอร์ชันฟรี ให้การทำงานกับพร็อกซีได้ เพิ่มเครื่องมือการทำงานร่วมกันที่ช่วยให้หลายๆ คนสามารถมีส่วนร่วมพร้อมกันในการดำเนินโครงการเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือในไฟล์ มีเครื่องมือการไล่ลำดับสี พร้อม Graticule นี้ให้ ให้แก้ไขสองพารามิเตอร์พร้อมกัน ตัวอย่างเช่น สีและความอิ่มตัว หรือ ส่วนของความสว่าง  การปรับเปลี่ยนทำได้โดยการลากจากจุดควบคุม จึงให้ความสามารถในการค่อยๆจางลงเพื่อให้ดูคมชัดและเป็นธรรมชาติมากขึ้น เป็นวิธีเปลี่ยนสีในภาพที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

  • การรวมแผงการตรวจสอบ
  • แก้ไขอย่างรวดเร็วด้วยเมาส์และคีย์บอร์ด FlexBus ซึ่งรองรับได้ถึง 26 ช่องสัญญาณ
  • ความสามารถในการประมวลผลเพลงได้มากถึง 2000 แทร็กแบบเรียลไทม์ โหมดแสดงวิดีโอสด (Live VDO)
  • คุณสมบัติของมาสก์ที่กำหนดโดยอิงตามอัลกอริทึมของเครื่อง

การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่โดดเด่น

      สามารถกำหนดการลดทอนสีในวงกลมสี HDR เฉพาะเพื่อการควบคุมที่สร้างสรรค์มากขึ้นเมื่อทำการปรับแต่งอย่างละเอียด

      นอกจากนี้ ยังสามารถใช้การผสมภาพ เปลี่ยนแปลง การแก้ไขชื่อเรื่อง ที่เน้นเอฟเฟกต์

ตัวเลือกเพิ่มเติมใหม่จะถูกเน้นสำหรับเสียงหลังการประมวลผล ในแฟร์ไลท์ รวมถึงการปรับปรุงเครื่องมือและคุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อมอบคุณภาพที่โปรแกรมอื่นไม่สามารถเทียบได้ในระหว่างขั้นตอนหลังการผลิตเสียง

     ใน DaVinci Resolve 17 มีปลั๊กอิน Resolve FX ใหม่ 11 ตัว  โดดเด่นในการปรับปรุงพื้นผิว กู้คืนรายละเอียดดำเนินการอินเลย์ 3D, HSL และลูมา, การแปลงวิดีโอและการลดสัญญาณรบกวน, สร้างลูปการเคลื่อนไหว, เบลอ, และการเชื่อมต่อภาพ

     DaVinci Resolve 17 มีการอัปเกรดครั้งใหญ่ของโปรแกรม  มีฟังก์ชั่นใหม่มากกว่า 100 รายการและการปรับปรุง 200 รายการ

  • ปรับขนาดรูปคลื่นให้พอดีกับแทร็กเสียง
  • ปรับปรุงเครื่องมือตัดต่อและสร้างวิดีโอ
  • แป้นพิมพ์เพื่อเร่งความเร็วในการประมวลผลเสียง
  • พื้นที่สี DaVinci Wide Gamut, แผนภูมิมาตรวัดที่อัปเดต
  • แยกการแสดงข้อมูล และการจัดประเภทคลิป
  • แก้ไขการควบคุมสำหรับการแก้ไขสีหลัก

เวอร์ชันฟรีจะเพิ่มเครื่องมือการทำงานร่วมกันที่ช่วยให้หลาย ๆ คนสามารถมีส่วนร่วมพร้อมกันในการดำเนินโครงการเดียวกัน

  • โหมดหน้าจอแยกใหม่
โพสท์ใน KM:ด้านการผลิตบัณฑิต, การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ, คณะนิเทศศาสตร์ | ใส่ความเห็น