เมื่ออลิซยังไม่ประสีประสา เธอก็ติดตามพี่ชายไปเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง แล้วเย็นวันหนึ่งต้นฤดูหนาวปี 1992 เธอขอตามพี่ชายไปงานพรอม งานเต้นรำฉลองความสำเร็จของโรงเรียนคีทเบท ซึ่งพอลพี่ชายก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าอลิซน้องสาว ….
“โอ…พี่เราแสนดีจริงๆ ช่างเลือกเราให้ไปเป็นคู่เต้นรำ คืนนี้…จะเลือกชุดไหนดีเนี่ย…สีฟ้าขาว ชมพูเขียว หรือม่วงแดง ช่างแม็ตกันไปซะหมด ใส่อย่างไหนก็สวย พี่ชายที่แสนดีตะโกนมาจากห้องนอนข้างๆ…” พอลแอบได้ยินอลิซบ่นข้ามห้อง
“อลิซ อย่าลืมใส่รองเท้าคู่ที่พี่ซื้อให้เมื่อเสาร์ที่แล้วนะ” พอลตะโกนบอก พร้อมฮัมเพลงเบาๆ ลอยมา…. Young ones,….Darling we’re young ones….
———————————————————
ณ วันนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่อลิซหวนนึกทุกครั้ง ก็เจ็บปวดทุกครั้ง แมททิวก้าวเข้ามาในชีวิตของเธออย่างไม่ตั้งตัว จะให้เธอฝืนชะตาชีวิตได้อย่างไร ในเมื่อชายหนุ่มหล่อจนใครๆ ในงานสะดุดหกล้ม อลิซเช่นกัน เธอกระดกแก้วยินหกใส่ชุดใหม่ม่วงแดงเลอะเทอะ เจ้าชายในคราบซาตานวันนั้น ดูดีเพียบพร้อมกับสาวๆ เกือบทุกคนในงาน หัวใจสาวน้อยเต้นแทบไม่เป็นจังหวะเมื่อแมททิวหันมาซบตาเธอ ในที่สุดแมททิวก็ย่างก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจของอลิซ ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ก็ให้คิดถึงเขาอยู่ตลอด…แทบเป็นบ้า
—————————————————————————
“ตกลงว่า ฉันขอฟ้องหย่าข้อหาที่เธอคบชู้ทั้งที่มีฉันอยู่” อลิซจำคำพูดนี้ได้ดีเมื่อทนายยื่นคำขาดไป
“ผู้ชายเทห์ หล่อ สตางค์ก็พอมี ดูจะเข้าท่าสำหรับสาวๆ….” เจนนี่เพื่อนสนิท คอยเป็นกำลังใจให้อลิซ และลุ้นอยู่ห่างๆ ว่า ผลจะออกมาอย่างไร
“เวรกรรมแท้ๆ ที่ไปเจอผู้ชายกะล่อนแบบนี้เข้า…ลืมมันไปเถอะ เขาไม่คู่ควรกับเธอหรอก ” เจนปลอบเธอให้คลายความทุกข์ลงบ้าง
————————————————————————-
แม่เพื่อนตัวดีลับหลังแอบกินขนมของรักของอลิซจนได้ จะไม่ให้เจ็บไปถึงก้นทรวงได้ยังไง ในเมื่อเพื่อนรักกลายเป็นแม่มดเสกเอาคนรักเธอไป…..
Sad movies always make me cry…
He said he had to work so I went to the show alone
They turned down the lights and turned the projector on
And just as the news of the world started to begin
I saw my darlin’ and my best friend walk in
Though I was sittin’ there they didn’t see
And so they sat right down in front of me
When he kissed her lips I almost died
And in the middle of the color cartoon I started to cry.
Oh-oh-oh sa-a-a-d movies always make me cry
Oh-oh-oh sa-a-a-d movies always make me cry
And so I got up and slowly walked on home
And mama saw the tears and said “what’s wrong?”
And so to keep from telling her a lie
I just said “sa-a-a-d movies make me cry”
Oh-oh-oh sa-a-a-d movies always make me cry
Oh-oh-oh sa-a-a-d movies always make me cry
Ooh, ooh, ooh, ooh, ooh
Ooh, ooh, ooh, ooh
Sa-a-a-d movies make me cry….
จากที่อ่านเรื่องย่อข้างต้น ลองคาดเดาดูว่า เป็นเรื่องแปล หรือเรื่องเขียนขึ้น ทุกคนไม่มีใครไม่เคยได้อ่านนิยาย เรื่องสั้น เรื่องย่อ แน่นอนเราทุกคนย่อมหนีไม่พ้นกับการอ่านเรื่องเล่า เรื่องจริงผสมนิยาย เรื่องกุขึ้นมาในวัน April’s Fool Day (วันหลอกลวงโลก) ที่ชาวตะวันตกนิยมคิดขึ้นมาไว้ล้อเล่น (kidding) สำหรับคนกันเอง คนรู้จักหรือไม่รู้จัก เพื่อชวนหัว ตลกกันไป เพื่อจรรโลงให้โลกดูสวยงาม
อาชีพนักเขียนเป็นอาชีพต้นๆ ที่ทำรายได้ให้มนุษย์ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งแต่เดิมแทบไม่พอยาใส้ ด้วยความทุกข์ทรมานที่เขียนเรื่องขึ้นมาแล้ว กลับขายเรื่องได้ไม่พอประทังชีวิต ซึ่งเคยมีคำพูดว่า “เป็นนักเขียน…ไส้แห้ง” เมื่อนักเขียนบางคนลาลับจากโลกนี้ไป แต่ผลงานกลับยังอยู่ ถึงครานี้แหละที่ผลงานกลับทำชื่อเสียงและรายได้ด้วยตัวมันเองอย่างมหาศาล
คนที่มีแรงบันดาลใจมากมายอยากเขียนหนังสือแต่เมื่อเจอกับคำพูดว่า “ไส้แห้ง” หรือ “ไม่มีใครอ่านผลงาน” เหล่านี้เป็นอุปสรรคสร้างความท้อแท้ ท้อถอยให้กับตนเอง
ลองมาดูกันว่า อาชีพนักเขียนระดับโลก มีรายได้กันขนาดไหน จากการจัดอันดับของ Forbes ปี 2013
อันดับ 11 ไม่ใช่ใครอื่น เธอคือ J.K. Rowling ผู้เขียน Harry Potter วรรณกรรมก้องโลก มีรายได้อยู่ 17 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 10 Dean Koontz ผู้เขียนนวนิยายแนวสยองขวัญ ฆาตกรรม รายได้อยู่ที่ 19 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 9 Suzanne Collins นวนิยายที่นำไปสร้างหนังชื่อ Hunger Games รายได้อยู่ที่ 20 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 8 Danielle Steel นักเขียนนวนิยายสุดหวานโรแมนติก ขายได้กว่า 580 ล้านเล่มทั่วโลก เป็นนักเขียน the 8th best sellers of the world รายได้อยู่ที่ 23 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 7 Nora Roberts นักเขียนนวนิยายแนว Romance & Fantasy เช่นกัน มีผลงานกว่า 200 เล่ม ใช้นามปากกา J.D. Robb ด้วย รายได้อยู่ที่ 23 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 6 Bill O’Reilly ผู้ประกาศข่าว Fox News ได้หันมาเอาดีการเขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เรื่อง “Killing Lincoln”, “Killing Kennedy” ก็เป็นผลงานของเขาคนนี้ มีรายได้อยู่ที่ 24 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 5 Jeff Kinny ผู้โด่งดังจากการเขียนนิยายหนึ่งในซีรีส์ “Wimpy Kid” ยอดฮิตติดอันดับหนังสือขายดี ปี 2011 คือ “Cabin Fever” หนุ่มอายุ 43 ปี คนนี้มีรายได้อยู่ที่ 25 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 4 John Grisham นักเขียนรูปงามรายนี้อายุ 59 ปี แต่ยังหล่อเฟี้ยว นวนิยายที่เขียนแนวสยองขวัญ ฆาตกรรมสืบสวน และแนวกีฬาเบสบอล จบด้านกฎหมาย เคยเป็นสส.ของรัฐมิสซิสซิปปี้ เมื่อปี 1984-1990 เริ่มเขียนนิยายเรื่องแรก A Time to Kill เมื่อปี 1984 ตีพิมพ์ปี 1989 ในปี 2012 หนังสือเขาขายได้ 275 ล้านเล่มทั่วโลก รายได้อยู่ที่ 26 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 3 Janet Evanovich นักเขียนนิยายโรมานซ์อีกคนที่มีผลงานโด่งดังจากเรื่อง Stephanie Plum เป็น suspense series ชวนให้ติดตามหาคำตอบ คือแนวการเขียนของเธอผู้นี้ มีรายได้อยู่ที่ 33 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 2 Stephen King อายุ 66 ปี นักเขียนผู้นี้มีแนวหลากหลาย ฆาตกรรม “ไซ-ไฟ” (Sci-Fi) แนววิทยาศาสตร์ ดราม่า แฟนตาซี ปี 2013 เป็นปีที่เขาออกหนังสือแนวท่องเที่ยว “11/22/63” นิยายซีรีส์ ชื่อ “Dark Tower” นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ มีรายได้อยู่ที่ 39 ล้านดอลล่าร์
อันดับ 1 James Patterson อายุ 67 ปี ตลอดชีวิต เขามีอาชีพจากการเขียนนวนิยายขาย ซึ่งผิดกับนักเขียนคนอื่นๆ ที่มีอาชีพอื่นด้วย รายได้จากการขายลิขสิทธ์เพื่อสร้างหนังหรือละครทีวีน้อยมาก ปี 2011 สามารถผลิตนิยายวางจำหน่ายได้ถึง 14 เรื่อง นักเขียนผู้นี้มีรายได้ถึง 64 ล้านดอลล่าร์
ลองคิดดูว่า อาชีพนักเขียนทุกวันนี้ แม้กระทั่งในบ้านเราก็ไม่ธรรมดา แถมรายได้ล้นเหลือกว่าคำว่า “แค่พอยาไส้” หรือว่า ไม่พอยาไส้”
อยากจะเขียนอะไรก็ลองนึกวาดมโนภาพก่อน ตอนต่อไปจะลองมาดูการเขียน theme และ plot เรื่องกันว่า จะช่วยให้การเขียนหนังสือซักหนึ่งเล่มเป็นเรื่องง่าย ไม่ยากจนเกินไป แต่หลายคนก็บ่นว่า ก็ไม่ง่ายซะทีเดียว