มาตรฐานการเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ

นโยบายวช. ด้านมาตรฐานการวิจัย และรูปแบบและวิธีการเผยแพร่ผลงานวิจัย

          ดร.จินตนาภา โสภณ ที่ปรึกษาด้านการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้บรรยายสรุปในประเด็นดังต่อไปนี้

-วิสัยทัศน์ วช.

-พันธกิจ วช. (จัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัย จัดทำมาตรฐานและแนวทางในการวิจัยของประเทศ)

-โครงสร้าง วช.

หน่วยงานที่สำคัญหน่วยงานหนึ่ง คือ กองมาตรฐานการวิจัย หน้าที่ของกองมาตรฐานการวิจัย ที่สำคัญคือ การกำหนดมาตรฐานการวิจัยของประเทศ และส่งเสริม สนับสนุนการวิจัย

-ปัญหา อุปสรรคของงานวิจัย

  1. นโยบาย
  2. งบประมาณ
  3. หน่วยงาน
  4. จำนวนและคุณภาพนักวิจัย
  5. มาตรฐานการวิจัย
  6. การบูรณาการงานวิจัย
  7. การบริหารจัดการและการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์

 

-ก่อนการปฏิรูประบบมาตรฐานการวิจัย

จะให้ความสำคัญเฉพาะจรรยาบรรณในการทำวิจัย ขาดการกำหนดมาตรฐานการวิจัย ขาดระบบและกลไก ตลอดจนไม่มีความเป็นสากล

-หลังการปฏิรูประบบมาตรฐานการวิจัย : มีการกำหนด

  1. มาตรฐานที่เกี่ยวกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
  2. มาตรฐานการวิจัยในมนุษย์
  3. มาตรฐานเรื่องความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ
  4. มาตรฐานการเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการ
  5. มาตรฐานการวิจัยด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ
  6. ระบบมาตรฐานการนำส่งข้อมูลของโครงการวิจัยที่เสนอขอรับงบประมาณ (NRPM > NRMS)

 

-นโยบายด้านมาตรฐานการวิจัย

  1. พัฒนากระบวนการการจัดทำมาตรฐาน
  2. พัฒนากระบวนการขับเคลื่อน
  3. พัฒนากลไกในการบริหารจัดการที่เข้มแข็ง
  4. พัฒนามาตรฐานการวิจัยเพิ่มขึ้น

 

-รูปแบบและวิธีการเผยแพร่ผลงานวิจัย

  1. ประชุมวิชาการ
  2. เผยแพร่ในรูปแบบโปสเตอร์
  3. นำเสนอในวารสารวิชาการ

จะนำเสนอในรูปแบบใดก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญคือ จะต้องมีการนำไปใช้ประโยชน์ในชุมชน ซึ่งกรณีนำเสนอผลงานฯ อาจแบ่งออกได้ ดังนี้

  1. สิ่งตีพิมพ์ปฐมภูมิ
  2. สิ่งตีพิมพ์ทุติยภูมิ
  3. สิ่งตีพิมพ์ตติยภูมิ
  4. คู่มือ พจนานุกรม
  5. ตำรา

ในการพิจารณาว่าสิ่งพิมพ์/วารสารเป็นวารสารวิชาการหรือไม่ ดูจาก

  1. มีบทความวิชาการประกอบอย่างน้อยครึ่งหน้า
  2. กรณีเป็นข่าวหรือเป็นการวิจารณ์หนังสือ ต้องมีสาระในเชิงวิชาการ
  3. มีศัพท์ทางเทคนิค
  4. มีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง
  5. มีหมายเลข
  6. มีการตรวจแก้ไขโดยผู้ทรงคุณวุฒิในศาสตร์สาขานั้นๆ
  7. มีบทคัดย่อ/บทนำ/บทวิจารณ์/บทสรุป
  8. มีรายการเอกสารอ้างอิง
  9. อยู่ใน TCI List

การเขียนบทความวิชาการมักพบความบกพร่อง ดังนี้

  1. ยาวเกินไป
  2. ไม่แม่นข้อมูล
  3. บรรยายไม่กระจ่าง
  4. บกพร่องด้านภาษา
  5. ใช้ภาพประกอบอย่างฟุมเฟือย

– โครงสร้างบทความวิชาการ

– การเตรียมความพร้องก่อนเขียนและส่งบทความวิชาการ

– การเลือกวารสารเพื่อการตีพิมพ์

การนำข้อมูลเผยแพร่ในระบบ TNRR

          นายชัยยุทธ ชัยสิทธิ์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนามาตรฐานการวิจัย กองมาตรฐานการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) บรรยายในประเด็น ดังนี้

– บทบาทของ วช. เกี่ยวกับการให้ทุน

  1. เป็นผู้ประเมิน
  2. เป็นแหล่งทุน

2.1 งบวิจัยมุ่งเป้า

2.2 งบการจัดการความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากงานวิจัยและนวัตกรรม

2.3 ทุนบัณฑิตศึกษา

2.4 ทุนพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัย (แม่ไก่-ลูกไก่)

– ระบบบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (NRMS) ขยายขอบเขตมาจาก NRPM และ TNRR

  1. Proposal Assessment

ประกาศทุน > ยื่นข้อเสนอ > ตรวจสอบ > ประเมิน > แจ้งผล

  1. Ongoing and Monitoring

นำเข้าจัดสรรงบประมาณ > เบิกจ่าย > รายงานความก้าวหน้า > ส่งรายงาน

  1. Research Evaluation

รายงาน/ผลิตภัณฑ์

– การจัดการโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ

– คลังข้อมูลงานวิจัยไทย (TNRR : www.TNRR.in.th)

– ประโยชน์ของ TNRR

  1. มีระบบฐานข้อมูลแบบบูรณาการ
  2. ลดความซ้ำซ้อนของโครงการวิจัย
  3. มีข้อมูลสำหรับฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ได้
  4. ฝ่ายบริหารสามารถมองภาพรวมงานวิจัยของทั้งประเทศได้
  5. นักวิเคราะห์สามารถมองเห็นรายได้ที่จะเกิดขึ้นได้

-เครือข่ายองค์การบริหารงานวิจัยแห่งชาติ

  1. วช.
  2. สกว.
  3. สวทช.
  4. สวก.
  5. สวรส.
  6. สวทน.
  7. สกอ.

การเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ

          ศาสตราจารย์ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายสรุปประเด็นได้ดังนี้

-สังคมไทยต้องเปลี่ยนผู้เรียนจากการเป็น “ผู้บริโภค”(ความรู้) ไปเป็น “ผู้ผลิต”(ความรู้)

ที่ผ่านมา ประเทศไทยลงทุนทางการศึกษาสูงที่สุดในอาเซียน แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างผู้เรียนให้มีความสามารถในการผลิตความรู้

-จริยธรรมสูงกว่ากฎหมาย

นักวิจัยทุกคนต้องตระหนักในเรื่องจริยธรรมในการทำวิจัย การทำวิจัยนั้นไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือมากหรือพิเศษ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องบันทึกให้ถูกต้อง และอาจารย์ทุกคนต้องทำงานวิจัย เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ งานวิจัยเพื่อสังคมนั้นสามารถนำมาขอตำแหน่งทางวิชาการได้ แต่งานวิจัยเพื่อสังคมหรืองานวิจัยใดๆก็ตามที่เป็นงานบริการวิชาการจะนำงานนั้นๆมาขอตำแหน่งทางวิชาการไม่ได้ หากต้องการนำงานนั้นๆมาขอตำแหน่งทางวิชาการต้องนำงานบริการวิชาการนั้นมาเขียนเป็นบทความวิชาการ เผยแพร่ และมีการนำไปใช้ประโยชน์ จึงจะสามารถนำมาขอตำแหน่งทางวิชาการได้ ดังนั้น จึงต้องแยกระหว่าง “วิชาการ” กับ “วิชาชีพ” “วิชาการ”นำมาขอตำแหน่งทางวิชาการได้ “วิชาชีพ”นำมาขอตำแหน่งทางวิชาการไม่ได้

-การทำงานวิจัยให้มีคุณภาพ

 ต้องมีความอดทน ซื่อสัตย์ กตัญญู

อดทน : งานวิจัยเป็นเรื่องใช้เวลา

ซื่อสัตย์ : ผลได้อย่างไร ต้องเป็นอย่างนั้น

กตัญญู : ต้อง acknowledge ผู้ที่เกี่ยวข้อง

-จริยธรรมในยุคดิจิตอล

 ปัจจุบันงานวิจัยเผยแพร่ทางสื่อดิจิตอล ทำให้การเผยแพร่มีความรวดเร็วมาก การนำเสนอความรู้จึงต้องมีหลักฐานและต้องไม่ละเมิดผู้อื่น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการทำวิจัยในยุคดิจิตอลก็คือ

  1. แพร่กระจายได้รวดเร็ว
  2. Conflict of interest
  3. ต้องแยกระหว่าง belief กับ knowledge

-ความซื่อสัตย์ จริยธรรมและงานวิจัย

  1. Fabrication

ในงานวิจัยถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะเป็นการ make up ข้อมูลงานวิจัย เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองและประโยชน์ในการตรวจสอบ นักวิจัยจึงจำเป็นต้องมี Log book หรือสมุดบันทึก เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่ามีการทำวิจัยจริง โดยการแก้ไขใดๆในสมุดบันทึกจะต้องไม่ใช้น้ำยาลบคำผิดแต่ให้ขีดฆ่าและเซ็นต์กำกับเพื่อให้เห็นร่องรอยการแก้ไข และเห็นข้อมูลก่อนการแก้ไข

  1. Falsification

หมายถึง การดัดแปลงข้อมูลหรือการแก้ไขข้อมูล ตัวเลข ทำไม่ได้ การนำรูปของผู้อื่นมาใช้ จะนำมาตกแต่ง ดัดแปลงไม่ได้ เว้นแต่เป็นการใส่ลูกศร หรือสิ่งจำเป็นอื่นๆ หรือเพิ่มเติมตัวหนังสือ การใช้ภาพของผู้อื่ต้องขออนุญาตและได้รับอนุญาตแล้วจึงจะสามารถนำมาใช้ได้ เว้นแต่กรณีที่เป็นภาพที่เจ้าของให้สิทธิในการนำไปทำซ้ำได้ก็จะสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต (ตรวจสอบได้โดยการ search ไปที่คำว่า “สิทธิในการใช้งาน”)

  1. Plagiarism

หมายถึง Stealing another’s work หรือการขโมยงานของผู้อื่น เน้นการลอกงานของผู้อื่น วิทยากรมองว่าประเด็นที่ 3 นี้ร้ายแรงน้อยกว่า 1และ 2

– ปัจจุบันมีวารสารที่ออกมาหลอกลวงจำนวนมาก ผู้ที่ประสงค์จะเผยแพร่ผลงานวิจัยและงานวิชาการควรพิจารณาให้ดี ไม่ว่าจะเป็น Phantom of conference หรือ วารสารที่อยู่ใน Beall’s list

 

ข้อความนี้ถูกเขียนใน ทั่วไป คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

หนึ่งความเห็นตอบกลับที่ มาตรฐานการเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ

  1. chamanad พูดว่า:

    บทคัดย่อ

    ชื่อเรื่อง : การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสมการและการแก้สมการ ที่เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E
    ชื่อผู้รายงาน : นางสาวพจณีย์ กาญจนเสนา ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ โรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 (บ้านท่าเรือมิตรภาพที่ 30) ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
    ปีที่รายงาน : ปีการศึกษา 2559
    …………………………………………………………………………………………………………………………………………….

    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการและการแก้สมการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผ่านกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ 5Es โดยจำนวนนักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ70 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมดมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป ศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง สมการและการแก้สมการ ผ่านกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ 5Es และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5Es ที่เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5Es ซึ่งได้ผ่านการวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด และขอบข่ายการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง และเรียบเรียงสาระตามโครงสร้างทางคณิตศาสตร์และครอบคลุมรูปแบบสมการของจำนวนตรรกยะบวกและศูนย์ทุกรูปแบบที่มีโอกาสเกิดขึ้นในระดับประถมศึกษา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ
    กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 (บ้านท่าเรือมิตรภาพที่ 30) อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 31 คน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยกำหนดวงจรการปฏิบัติการไว้ 3 วงจร แต่ละวงจรปฏิบัติการมีการดำเนินการ 4 ขั้นคือ ขั้นวางแผน (Planning) ขั้นปฏิบัติการ (Action)ขั้นสังเกตการณ์ (Observation) และขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติการ (Reflection) ตามแนวคิดของ Kemmis & Mctaggart การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ
    ผลการวิจัยพบว่า
    1) ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการและการแก้สมการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผ่านกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ 5Es ที่เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ พบว่านักเรียนร้อยละ 83.33 ของนักเรียนทั้งหมด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไปซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
    2) ผลการศึกษาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง สมการและการแก้สมการ ผ่านกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ 5Es พบว่านักเรียนมีคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์เฉลี่ยรวม 33.87 จากคะแนนเต็ม 45 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 75.27 เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายทักษะ พบว่า นักเรียนทุกคนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ครบทั้ง 5 ทักษะ โดยนักเรียนมีทักษะการจำแนกมากที่สุด มีคะแนนคะเฉลี่ยร้อยละ 89.33 รองลงมาคือทักษะการจัดหมวดหมู่ มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 78.87 ทักษะการการเชื่อมโยง มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 73.33 ทักษะการสรุปความ มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 65.57 และทักษะการประยุกต์ คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 63.33 ตามลำดับ
    3) ผลการสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5Es เรื่อง สมการและการแก้สมการ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาแต่ละด้าน พบว่าด้านรูปแบบกิจกรรม/สื่อ ด้านเนื้อหาและด้านประโยชน์มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.47 4.40 และ 4.68 ตามลำดับ ซึ่งด้านรูปแบบกิจกรรม/สื่อ และด้านเนื้อหามีค่าอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านประโยชน์มีค่าอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า แต่ละข้อมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 4.23 ถึง 4.90 อยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด

ใส่ความเห็น