การพัฒนาความรู้ด้านการเรียนการสอน

การพัฒนาความรู้ด้านการเรียนการสอน

KMIT-2

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 อาจารย์ศศิวิมล แรงสิงห์ และอาจารย์เกศริน อินเพลา ได้เข้าร่วมการอบรมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในประเด็น “การคำนวณหาคุณภาพของข้อสอบปรนัย-อัตนัย โดยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ” ซึ่งมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิริพร เสริตานนท์ เป็นวิทยากรในการให้ความรู้ และมีการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเข้ามาช่วยในการประมวลผลและการตีความหมาย อาจารย์ศศิวิมล แรงสิงห์ ได้มีการให้ความช่วยเหลือ(วิทยากรช่วย)ในการดูแลและติดตามการใช้งานโปรแกรมระหว่างการอบรมแก่ผู้เข้าร่วมการอบรม

รูปแบบการอบรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

  1. มีการบรรยาย “การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรูปแบบข้อสอบแบบ ปรนัย-อัตนัย” พร้อมทั้งการนำข้อมูลเข้าโปรแกรมสำเร็จรูปฯ และการวิเคราะห์-ตีความผลการวิเคราะห์คะแนนผลการสอบ
  2. การยกตัวอย่าง การนำผลการให้คะแนนตามข้อสอบในรูปแบบปรนัย และแบบอัตนัย ในรายวิชาต่างๆ พร้อมทั้งการยกตัวอย่างรูปแบบการออกข้อสอบที่ไม่เหมาะสมกับการสอนในระดับอุดมศึกษา
  3. มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การวิเคราะห์ การหาข้อสรุป รูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์ข้อสอบในรูปแบบปรนัย และแบบอัตนัย

วัตถุประสงค์ของการอบรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เพื่อทำความเข้าใจวิธีและกระบวนการวัดประเมินผลการออกแบบสอบและการให้คะแนนของอาจารย์ผู้สอน
ประโยชน์ของการนำมาพัฒนาในการเรียนการสอนในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ

  1. นำความรู้ความเข้าใจมากระบวนการวัดประเมินผลการออกแบบสอบและการให้คะแนนของอาจารย์ในแต่ละรายวิชาในปีการศึกษาต่อไป
  2. ถ่ายทอดความรู้และวิธีการวัดและประเมินผลให้คณาจารย์ในคณะ
  3. ทดลองการประเมินผลการให้คะแนนในรายวิชาต่างๆ อย่างน้อย 5 รายวิชาในแต่ละภาคเรียน ของปีการศึกษา 2560

สรุปเนื้อหาที่ได้จากการอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในปัจจุบันนิยมใช้แบบทดสอบเป็นเรื่องมือในการวัดและประเมิน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบปรนัย เป็นแบบทดสอบที่ให้เลือกตอบจากสิ่งที่กำหนดมาให้แล้ว โดยคำตอบของแบบทดสอบแบปรนัยจะมีความถูกต้องและชัดเจน เข้าใจตรงกันทั้งผู้สอบและผู้ตรวจ รวมทั้งมีความเชื่อถือได้ มีความยุติธรรม ในขณะที่แบบทดสอบอัตนัย จะมีลักษณะตรงกันข้าม ผู้สอบจะต้องเรียบเรียงแนวความคิดและความรู้ของตนเองเป็นสำคัญ หรือแม้แต่ผู้ตรวจคนเดียวกันอาจให้คะแนนคำตอบแต่ละคนไม่ยุติธรรม ขาดความเที่ยงตรง เพราะขาดกรอบของการตอบคำถาม ไม่มีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน ทำให้มีตัวแปรอื่นๆ เข้ามามีอิทธิพลต่อคะแนนที่ให้มากกว่า ซึ่งส่งผลต่อความเป็นปรนัย ความยุติธรรม และความเที่ยงตรงของการประเมิน

ข้อดีของแบบทดสอบอัตนัย

  1. ผู้ตอบมีโอกาสใช้ความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น
  2. ผู้ตอบที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น จะไม่สามารถเดาคำตอบได้เลย ซึ่งจะช่วยลดความคลาดเคลื่อนในการวัดได้เป็นอย่างดี
  3. ข้อสอบอัตนัยเหมาะกับการวัดผลทักษะในการเรียนทั้ง 6 ด้าน คือ วัดการจำรายละเอียดของเนื้อหา วัดความเข้าใจ วัดการนำไปใช้ วัดการวิเคราะห์ วัดการสังเคราะห์ และวัดการประเมิน
  4. ข้อสอบอัตนัยเป็นแบบทดสอบที่มีคุณสมบัติสามารถจำแนกผู้เรียนได้ตามความแตกต่างของบุคคลว่าใครเก่ง ปานกลาง อ่อน รอบรู้-ไม่รอบรู้

คุณภาพของแบบทดสอบอัตนัย
คุณภาพของแบบทดสอบอัตนัยมีลักษณะเช่นเดียวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดอื่น ซึ่งมีคุณลักษณะสำคัญที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่

  1. ความเที่ยงตรง (Validity) แบบทดสอบอัตนัยสามารถวัดผล วัดคุณลักษณะที่ต้องการจะวัดได้หรือไม่ ทั้งในด้านเนื้อหา โครงสร้าง และสภาพผู้เรียน
  2. ความเชื่อมั่น (Reliability) ใช้วัดความแน่นอนของแบบทดสอบอัตนัย ผลของการวัดแบบทดสอบ ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งผลจะต้องเท่ากัน ภายใต้เงื่อนไขและสถานการณ์เดียวกัน และค่าของความเชื่อมั่นจะอยู่ในเกณฑ์ 0.7 ≥ 1 ถือว่าเป็นข้อสอบที่เชื่อถือได้
  3. ความยากง่าย (Difficulty: P) ใช้วัดความยากง่ายของแบบทดสอบอัตนัย ซึ่งแบบทดสอบอัตนัยที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากหรือง่ายเกินไป ข้อสอบฉบับหนึ่ง ควรมีผู้ตอบถูก ไม่ต่ำกว่า 20 คนและไม่เกิน 80 คนจากผู้สอบ 100 คน นั่นคือค่า P อยู่ระหว่าง 0.2 – 0.8 จึงถือว่าเป็นข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายพอเหมาะ
  4. อำนาจจำแนก (Discrimination)คือลักษณะของแบบทดสอบ อัตนัยที่สามารถแบ่งเด็กออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ทุกระดับตั้งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด แม้ว่าจะเก่งอ่อนกว่ากันเพียงเล็กน้อยก็สามารถชี้จำแนกให้เห็นได้ ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.2 – 0.8 ถือว่าเป็นข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกพอเหมาะ

KMIT-1

ข้อความนี้ถูกเขียนใน ทั่วไป คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

ใส่ความเห็น