นายฐิตินันท์ ดำรงสิทธิ์ หรือพี่ฟลุค ของน้องนักศึกษาเนชั่น
บอกเล่าเรื่องราว กว่าจะสอบติดทหารอากาศ ไว้ในเฟสบุ๊ค
เค้าเล่าเฉพาะเส้นทางการสอบจนถึงที่หมาย ไม่ได้พูดถึงการเป็นนายกฯ
งานพิธีกรที่มูลนิธิโยนกและมหาวิทยาลัย หรือเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น
เรามาติดตามเส้นทางการสอบเป็นทหารอากาศดีกว่า
ว่า ถึงไหม ท้อไหม ถึงปลายทางฝันตรงไหน มาติดตามกันครับ
พบว่า บรรทัดสุดท้ายของบทความที่ฟลุคเขียนฝากไว้
คือ “อนาคตที่ดี มาจากการกระทำในปัจจุบันที่ดี”
เรื่อง “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน”
1 .เริ่มต้น
จากการตัดสินใจสมัครสอบแข่งขัน เพื่อเป็นทหารอากาศผ่านทางอินเทอร์เน็ต
ช่วงนั้นมีเวลาเตรียมตัวก่อนสอบ 1 เดือน
ผมซื้อหนังสือเตรียมสอบมาอ่าน และฝึกทำแบบฝึกหัดเป็นประจำทุกวัน
จนผมอ่าน และทำจนครบทุกหน้าภายในเวลา 1 สัปดาห์
หลังจากนั้นผมก็คิดว่าหนังสือที่อ่านเล่มเดียวนั้นคงยังไม่เพียงพอ
ผมจึงสั่งหนังสือแบบไฟล์ PDF มาอ่านผ่านมือถือ
ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์
ผมก็อ่านจบ และทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมด
ตลอดระยะเวลาที่อ่านหนังสือ
ผมก็รู้สึกท้อและขี้เกียจมาก
แต่ก็คิดว่า ถ้าเราไม่อ่านแล้วจะสมัครสอบเพื่ออะไร
อย่าเสียเวลาไปสอบเลย แล้วบอกกับตัวเองว่า “อย่ายอมแพ้”
2. ถึงวันสอบ
ผมเดินทางไปสอบที่ธรรมศาสตร์ รังสิตด้วยตัวเอง
ผมเดินทางจากลำปางถึงกรุงเทพ เวลา 6.30น.
ผมไปนั่งรอที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 5 ชั่วโมง
เพราะผมสอบตอนเที่ยง
ระหว่างรอทุกคนที่มาสอบล้วนมีความหวัง และมีความมุ่งมั่น
ว่าตัวเองจะสอบผ่าน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ระหว่างรอผมก็เอาไฟล์หนังสือมาอ่าน
เพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
วันนั้นคนสอบเยอะมาก เยอะมากจนเราคิดว่าเราจะสอบผ่านรอบแรกมั้ย
ซึ่งเวลานั้น ผมก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุด โดยจะไม่เสียใจ
เพราะผมตั้งใจทำมันดีที่สุดแล้ว
3. วันประกาศผลสอบรอบแรก
ผมสอบติด 1 ใน 18 คน จากตำแหน่งที่ผมสมัครสอบ
มีผู้เข้าสอบประมาณ 40,000 กว่าคน ผ่านรอบแรก3,000 กว่าคน
ซึ่งผมผ่านรอบแรกมาได้ก็รู้สึกภูมิใจ และตั้งเป้าหมายครั้งต่อไป
ว่าเราจะต้องสอบผ่านการทดสอบร่างกาย และการสัมภาษณ์
4. ก่อนการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
ผมมีเวลาเตรียมตัว 2 – 3 อาทิตย์ ผมซ้อมวิ่งระยะทาง 2.5 กม.
ดันพื้น ซิทอัพ เป็นประจำจนถึงทุกวันนี้
พอถึงวันสอบผมเดินทางไปสอบที่ สนามกีฬาจันทรุเบกษา กองทัพอากาศ
ผมไปรอตั้งแต่ตี 4 ได้คิวสอบที่ 43 ตอน 7 โมงเช้า
วันนั้นรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้
แต่สิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจสู้ในตอนนั้นก็คือ พ่อแม่
และได้กำลังใจที่ดีจากคนที่ผมรักนั่นก็คือ “ออม”
สุดท้ายผลการทดสอบก็น่าพึงพอใจในระดับหนึ่ง
ผมจะต้องสามารถผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกายได้
ผมเชื่อมั่นแบบนั้น
ผลการทดสอบ การวิ่ง 2.5 กม. เวลา 10.35 นาที
ดันพื้น 49 ครั้งต่อนาที ซิทอัพ 39 ครั้งต่อนาที
ผมทำดีที่สุดแล้ว ณ เวลานั้น
5. วันสัมภาษณ์
ผมเดินทางไปที่โรงเรียนนายทหารชั้นประทวน กองทัพอากาศ
เวลา 8.00 น. ผมเป็นคนสุดท้ายที่ได้สัมภาษณ์เวลา 16.00 น.
ในวันนั้นผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับนายทหารที่เคยสอบผ่านเมื่อปีที่แล้ว
นายทหารคนนั้นแนะนำ และชี้แนวทางการตอบคำถามสำหรับผม
ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก และทำให้ผมอาจจะได้เปรียบกว่าคนอื่น
แต่สุดท้ายแล้ว คำแนะนำก็เป็นเพียงแค่คำแนะนำ
ไม่ได้ใช้ในห้องสัมภาษณ์เลย ผมต้องมีสติแล้วตอบคำถามอย่างชัดเจน
ตอบได้ คือ ได้ ตอบไม่ได้ คือ ไม่ได้
ในห้องมีกรรมการทั้งหมด 3 ท่าน คำถามมีดังนี้
5.1 แนะนำตัวเอง
5.2 แนะนำเป็นภาษาอังกฤษ
5.3 คุณมีความสามารถพิเศษอะไร
5.4 โปรไฟล์ดีมาก เรายอมรับว่าคุณเก่งเกินไปสำหรับตำแหน่งที่คุณสมัคร
5.5 คุณจะอยู่อย่างไรคนเดียวในช่วงแรกที่ประจำการ
5.6 ทำไมคุณไม่สมัครตำแหน่งอื่น
5.7 ทำไมคุณถึงเลือกจังหวัดบรรจุ
ถ้าไปสามจังหวัดชายแดนใต้คุณจะทำอย่างไร
5.8 เงินเดือนน้อยทำอย่างไร
5.9 คุณจะใช้ความรู้ของคุณกับตำแหน่งอย่างไร
5.10 ข้อมูลของกองทัพอากาศ
5.11 คุณมีอะไรจะพูดใน 30 วินาทีสุดท้ายไหม
5.12 ครอบครัวของคุณทำงานอะไร
5.13 ทำไมคุณไม่ช่วยครอบครัวสานต่อธุรกิจ
5.14 ถ้าคุณสอบไม่ติดปีนี้คุณจะผิดหวังหรือไม่ แล้วจะทำอย่างไร
5.15 ถ้าคุณมีโอกาสสอบอีก คุณยังจะเลือกสอบตำแหน่งเดิมหรือไม่
5.16 ถ้าผู้บังคับบัญชา การศึกษาน้อยกว่าคุณ คุณจะยอมรับหรือไม่
5.17 ถ้าเพื่อนร่วมงานชวนคุณดื่ม จะทำอย่างไร
5.18 คุณเรียน รด มาไหม เป็นอย่างไรบ้าง มีผลงานมั้ย
5.18 คุณมีเชื้อสายจีนใช่มั้ย
คุณเดินทางมายังไง
5.19 ทำตามคำสั่ง ดันพื้น ยกเก้าอี้ลุกนั่ง ระเบียบแถว
เสียงดังฟังชัด การทวนคำสั่ง ถอดเสื้อ หันหน้า หันหลัง
*คนเก่งแบบคุณ เข้ามาทำงานตำแหน่งนี้แค่แปปเดียว
ก็ย้ายไปทำงานตำแหน่งที่อื่นที่ดีกว่า
นั่นก็หมายความว่ากองทัพจะต้องเปิดรับสมัครตำแหน่งนี้ เพื่อมาแทนที่คุณ
ซึ่งมันเสียงบประมาณ คุณจะทำให้เรามั่นใจได้อย่างไร
ว่าคุณจะไม่เป็นเช่นนั้น
พวกเรายอมรับความเก่งของคุณนะ แต่ทุกอย่างก็ต้องรวบรวมจากผลคะแนนทั้งหมด
6. การประกาศผลสอบรอบสอง
ประกาศผมการสอบสมรรถภาพร่างกายและการสัมภาษณ์
ปรากฎว่าผมสอบผ่าน ติด 1 ใน 4 คนสุดท้าย
และเป็น 1 ใน 665 คน ที่ทางกองทัพอากาศเปิดรับ ผมดีใจมาก
แต่ก็ยังไม่ดีใจถึงที่สุด เพราะเรายังต้องไปทดสอบความถนัดบุคคล และตรวจร่างกาย
7. วันทดสอบความถนัดบุคคลและวิภาววิสัย
ผมเดินทางจากลำปางไปกรุงเทพ สอบที่ มธ. รังสิต สอบ 7.30 น.
การสอบประเภทนี้ไม่ต้องอ่านหนังสือ
เพราะเป็นการสอบประเภทความจำ การรับรู้ เชิงเหตุผล การใช้ภาษา
และพฤติกรรม วันนั้นการสอบก็ผ่านไปด้วยดี
8. การตรวจร่างกาย
ผมได้ตรวจร่างกายที่กองเวชศาสตร์ป้องกัน
กรมแพทย์ทหารอากาศ ผมเดินทางถึงกรุงเทพตี 4
วันนั้นเกิดเหตุสุดวิสัยผมเกือบไปตรวจร่างกายไม่ทันเวลา
ผมนั่งแท็กซี่จากดอนเมืองไปกรมแพทย์ทหารอากาศ 7.00 น.
แต่เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน
ทำให้ผมต้องลงจากรถแท็กซี่
แล้ววิ่งจากบริเวณหอประชุมกานตรัตน์ไปยังกรมแพทย์ทหารอากาศ
สุดท้ายผมก็วิ่งไปทันการตรวจร่างกายในวันนั้น
ผมได้คิวตรวจที่ 119 จากการตรวจทั้งหมด 123
ระยะทางที่วิ่งก็ประมาณเกือบ 1 กม.
9. วันประกาศผมสอบรอบสุดท้าย
ผมสอบติดเป็นทหารอากาศอย่างเป็นทางการ
ตลอดระยะเวลาที่ผมสอบนั้น
ผ่านเรื่องราวหลายอย่าง ทั้งเจออุปสรรคมากมาย ต้องมีความตรงต่อเวลา
ต้องมีความอดทน ต้องมีความพยายาม
แต่อย่างไรแล้วเราก็ต้องสู้จนถึงที่สุด “อย่ายอมแพ้”
และที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ พ่อแม่ ที่คอยสนับสนุนผม
และคือคนที่ผมกลัวทำให้ผิดหวังที่สุด
คนที่คอยเคียงข้างและให้กำลังใจผมตลอดในเวลาที่ผมท้อนั่นก็คือ ออม
ครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัยเนชั่นทุกท่านที่ให้วิชาความรู้
ประสบการณ์หลาย ๆ อย่าง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมได้เอาไปใช้ได้จริง และทำให้ผมประสบความสำเร็จ
เพื่อน ๆ ที่คอยช่วยเหลืออย่างที่พักอาศัย
ช่วยในการเดินทางและให้กำลังใจผม
สุดท้ายนี้
ไม่มีอะไรได้มาอย่างงายดาย ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยแรงกายแรงใจ
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นการเข้ารับราชการทหารอากาศ
ผมจะไม่มีวันยอมแพ้อีกต่อไป
“อนาคตที่ดี มาจากการกระทำในปัจจุบันที่ดี“