ระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ดูจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับคนส่วนใหญ่ในการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ บ้างก็อาจไปพักผ่อนชายทะเลแถวหัวหินหรือพัทยา บ้างก็อาจแวะไป shopping ที่ฮ่องกงหรือสิงคโปร์เพราะ agency ส่วนใหญ่ชอบวางโปรแกรมท่องเที่ยวในราคาประหยัด และผมเองเชื่อว่า ระยะเวลาดังกล่าวน่าจะพอดีกับความสุขช่วงสั้นๆ ที่ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไปของร่างกาย แต่ระยะเวลาเดียวกันนี้สำหรับการเดินทางกลับเมืองไทยของผมในครั้งนี้ กลับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ไม่น่าจดจำ และเหนื่อยสุดๆ และหวังว่าจะไม่พบเจอะเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วในชีวิต
การเดินทางเริ่มขึ้นประมาณ 10.30 น. ของวันที่ 30 พ.ย. เพื่อ check out ออกจากที่พักโดยทราบจากพยากรณ์อากาศมาก่อนแล้วว่าวันนี้จะมีหิมะตก (พนักงานที่พักยังพูดเชิงสนุกว่าเสียดายจังกลับพอดีน่าจะได้เห็นหิมะก่อน) บ่าย 2 โมงตรงเรามีนัดกันทั้งหมด 5 คนที่สถานี GARE DE LYON PART-DIEU เพื่อรอขึ้นรถรางด่วน (Rhone Express Tram) ไปสนามบิน Lyon ขณะนั้นก็เริ่มมีหิมะลงมาบ้างแล้ว ถึงสนามบินก่อนบ่าย 3 เล็กน้อย ภารกิจหลักคือการ claim ขอคืนภาษีจากการซื้อสินค้าและการ check in เพื่อให้แน่ใจว่ามี boarding pass และกระเป๋า Load เรียบร้อย รอเครื่องออกตามเวลา 17.45 น. ในระหว่างนั้นหิมะเริ่มตกหนักขึ้นและดูไม่มีทีท่าจะสงบ เพราะจากพยากรณ์อากาศหิมะจะตกไปจนถึงวันที่ 1 ธ.ค. อากาศจึงจะเริ่มดีขึ้น เริ่มมองหน้ากันไปมาและทุกคนเริ่มมีกังวล นัทกับฝ้ายแยกเดินทางไปก่อนเพราะต้องไปต่อเครื่องที่ปารีส ส่วนผม ปรี และบุ้ง ต้องหลังจากเที่ยวบินของนัทกับฝ้าย 45 นาที ซึ่งดูจะโล่งใจไปบ้างเมื่อสนามบินและสายการบิน KLM ให้เราขึ้นเครื่องได้ แต่ความกังวลใจกลับเริ่มมากขึ้นเมื่อกัปตันแจ้งอยู่ตลอดเวลาว่าให้ run way พร้อมก่อนและรอเจ้าหน้าที่สนามบินมาละลายหิมะที่เกาะตามปีกและหางของเครื่อง ผ่านไปราว 2 ชั่วโมง สนามบินประกาศปิดและต้องยกเลิกทุกเที่ยวบินเพื่อความปลอดภัย ต้องรอรถบัสมารับที่ตัวเครื่องกลับเข้าไปใน Terminal เพื่อรับกระเป๋าและเปลี่ยนตั๋วใหม่สำหรับบินในวันรุ่งขึ้น เสร็จสรรพใช้เวลากว่า 3 ช.ม. ใกล้เวลาเที่ยงคืน โดยสายการบินแจ้งว่าโรงแรมเต็มหมดต้องนอนสนามบิน 1 คืน มีเพียงแต่ coupon อาหารให้ไปรับ sandwich
เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตกับการนอนที่สนามบิน ไม่มีเตียงนอน ไม่มีหมอน แม้ว่ากาชาด (red cross) จะนำเตียงสนามมาให้แต่ก็ไม่เพียงพอเพราะมีผู้โดยสารตกค้างเยอะมาก จะมีให้ก็เป็นกระดาษห่อตัวป้องกันความเย็น (คล้ายๆ กระดาษ foil ห่ออาหาร) หลังจากได้พื้นที่เหมาะเจาะเป็นซอกเล็กๆ ของร้านกาแฟ จึงรีบจับจองทันทีสำหรับ 3 คน คลุมตัวด้วยกระดาษที่ได้ บอกได้อย่างเดียวว่านอนไม่หลับครับ หนาวสุดๆ อุณหภูมิด้านนอกน่าจะต่ำกว่า 0 องศา ขยับตัวไปมาไม่นาน ตี 4 ครึ่ง พนักงานร้านกาแฟมาเปิดร้าน จำเป็นต้องย้ายไปนั่งที่เก้าอี้ของสนามบินแทน สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนั้นคือ การแปรงฟันและล้างหน้าเพื่อสร้างความสดชื่นบนใบหน้า ตั้งแต่คอลงมาจนถึงปลายเท้าเริ่มสกปรกและมีกลิ่นบ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ (ทนเอา) เข้าไปนั่งจิบกาแฟที่ร้านดังดังกล่าวกว่าจะได้กาแฟและครัวซองก็เป็นนานกว่าชั่วโมง เพราะลูกค้าเยอะมาก ขณะนั้นหิมะก็ยังไม่หยุดตกเพียงแต่ดูบางลง ก็ได้แต่นั่งรอ flight และจะต้องไปที่ปารีสแทน ในใจก็ภาวนาขออย่าต้องนอนต่ออีก 1 คืนเลย เพราะถ้าปิดสนามบินอีก ยังไงก็ต้องขอกลับเข้าไปหาที่พักในเมืองเพื่ออาบน้ำอย่างแน่นอน ก็ยังดีที่คำภาวนาของพวกเราเป็นจริง เราได้เดินทางออกจากสนามบิน Lyon ประมาณเที่ยงวัน (ทั้งๆ ที่บนตั๋วเครื่องต้องออก 10.45 น. แต่ไม่รู้สึกตำหนิเขาเลย เพราะความดีใจมันมีมากกว่าเป็นสิบเท่า ถึงสนามบิน Charles de Gaulle ที่กรุงปารีสประมาณบ่าย 2 รอต่อเครื่อง Boeing ลำใหญ่กลับเมืองไทยเวลา 19.00 น. ขณะนั้นสภาพจิตใจดีขึ้นมากแต่สภาพร่างกายก็ดูจะสกปรกและส่งกลิ่นมากขึ้นเช่นกัน