Meta
ธันวาคม 2025 จ อ พ พฤ ศ ส อา 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 NTU Members
การจัดการความรู้(KM)
- KM:ด้านการผลิตบัณฑิต (32)
- KM:ด้านการวิจัย (44)
- คณะทันตแพทยศาสตร์ (3)
- คณะนิเทศศาสตร์ (66)
- คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์ (137)
- การตลาด (11)
- การบัญชี (12)
- คอมพิวเตอร์ธุรกิจ (52)
- บริหารธุรกิจ (22)
- บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (3)
- รัฐประศาสนศาสตร์ (2)
- วิทยาการคอมพิวเตอร์ (43)
- คณะพยาบาลศาสตร์ (8)
- คณะสาธารณสุขศาสตร์ (24)
- คณะเทคนิคการแพทย์ (2)
- คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (64)
- งานการเรียนการสอนและการสอบ (1)
- งานทรัพยากรมนุษย์ (2)
- งานทะเบียนและประมวลผล (3)
- งานบัญชีและการเงิน (1)
- งานประกันคุณภาพการศึกษา (3)
- งานประชาสัมพันธ์ รับนักศึกษา (144)
- งานระบบบริการสารสนเทศ (52)
- งานวิจัยและบริการวิชาการ (28)
- งานหอสมุด (2)
- งานอาคารสถานที่ (1)
- ทั่วไป (287)
การดูแลรักษาบริเวณภูมิทัศน์ ให้มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ของมหาวิทยาลัยเนชั่น
โพสท์ใน ทั่วไป
ปิดความเห็น บน การดูแลรักษาบริเวณภูมิทัศน์ ให้มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ของมหาวิทยาลัยเนชั่น
กระบวนการเสริมสร้างความยุติธรรมของอาจารย์ในการวัดผลการเรียน
กระบวนการเสริมสร้างความยุติธรรมของอาจารย์ในการวัดผลการเรียน
ในภาคการศึกษาที่ 2/2560 อาจารย์ภฏะ รองรัตน์ อาจารย์ประจำหมวดวิชาศึกษาทั่วไป ได้เสนอประสบการณ์เกี่ยวกับการเสริมสร้างความยุติธรรมในการวัดผลการเรียน มีข้อเสนอแนะ ดังนี้
“ความยุติธรรม” คือ ความเที่ยงธรรม, ความชอบธรรม, ความชอบด้วยเหตุผล และ ไม่เอนเอียงเข้าข้างใดข้างหนึ่งคุณธรรม
ในทุกปีทางมหาวิทยาลัย จะให้มีการประเมินการเรียนการสอนของอาจารย์ผู้สอน ถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานของหลักสูตร (TQF) ซึ่งประเมินในช่วงใกล้สิ้นภาคการศึกษา เมื่อวัดประกาศผลการเรียน นักศึกษามักจะสงสัยในคะแนนสอบและเกรดอยู่ประจำทุกภาคการศึกษา ทำให้เกิดกระบวนการพิจารณาเกรดใหม่ หรือแก้ไขเกรด ส่งผลต่อภาพลักษณ์มหาวิทยาลัย และมาตรฐานทางด้านวิชาการของหลักสูตรและคณะวิชา ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง คือข้อสอบวัดผลแบบอัตนัย ซึ่งนักศึกษาเห็นว่า ข้อสอบอัตนัยมักเป็นช่องว่างที่อาจารย์จะให้คะแนนโดยใช้ทัศนคติส่วนตัวที่มีต่อนักศึกษาทั้งด้านบวกและลบมาใช้เป็นมาตรวัดในการตรวจข้อสอบและให้คะแนน
ทางหมวดวิชาศึกษาทั่วไป จึงได้ทดลองกลไกเพื่อเสริมสร้างความยุติธรรมในการตรวจและการให้คะแนนข้อสอบ ดังนี้

*** ดูเพิ่มเติมที่
https://docs.google.com/spreadsheets/d/1SQeNuicKJ512UmIIE8X2hhjQAa0Z95ss9erPBjdxuIY/edit#gid=0
จากกระบวนการข้างต้น มีหลายขั้นตอนที่ผู้สอนและคณะกรรมการประจำหมวดวิชาศึกษาทั่วไปได้ดำเนินการอยู่แล้ว แต่ในภาคการศึกษาที่ผ่านมาก็ให้ความตระหนักมากยิ่งขึ้น และพบว่ากลไกดำเนินการของหมวดวิชาศึกษาทั่วไปดังกล่าว มีผลทำให้การประเมินความพอใจของนักศึกษาต่อกระบวนการเรียนการสอนมีเพิ่มมากขึ้น และไม่พบขอร้องเรียนในการข้อดูคะแนนสอบปลายภาค จากจำนวนที่เปิดลงทะเบียน จำนวน 14 วิชา โดยในภาคการศึกษาถัดไปจะนำกระบวนการดังกล่าวมาพัฒนา เพื่อเป็นข้อมูลเชิงเปรียบเทียบกับภาคการศึกษาที่ผ่านมาและกลุ่มรายวิชาเดียวกัน เพื่อทำให้เกิดกระบวนการที่ดี
ขอบคุณ อาจารย์ภฏะ รองรัตน์ ที่ช่วยแชร์ประสบการณ์ไว้ ณ ที่นี้
โพสท์ใน ทั่วไป
ปิดความเห็น บน กระบวนการเสริมสร้างความยุติธรรมของอาจารย์ในการวัดผลการเรียน
ข้อปฏิบัติสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัยสำหรับบัณฑิตศึกษา
|
ข้อปฏิบัติสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัยสำหรับบัณฑิตศึกษา
การเผยแพร่ผลงานวิจัยสำหรับบัณฑิตศึกษา
ผลงานที่เผยแพร่
- ผลงานที่เผยแพร่เป็นผลงานหรือส่วนหนึ่งของผลงานวิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาโท
- นักศึกษาจะส่งผลงานไปเผยแพร่ได้หลังจากที่ได้รับอนุมัติหัวข้อวิทยานิพนธ์จากคณะกรรมการหลักสูตรบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยแล้ว
วิธีการเผยแพร่ผลงาน
การเผยแพร่ผลงานหรือส่วนหนึ่งของผลงานวิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาโท ดำเนินการได้ 2 วิธี ดังนี้
- เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการที่เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการในสาขาวิชาที่นักศึกษาสำเร็จการศึกษา วารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการมีระบบประเมินบทความโดยกองบรรณาธิการ (editorial review) หรือโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก (peer review) หรือ
- เผยแพร่ในที่ประชุมวิชาการที่มีระบบประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก และมีการจัดทำ บทความวิจัยฉบับสมบูรณ์ (full paper) และเป็นรายงานการประชุมวิชาการ (proceedings)
- ประเภทของวารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการและประเภทของที่ประชุมวิชาการที่สำนักงานบัณฑิตศึกษากำหนดให้นักศึกษาหลักสูตรปริญญาโท แผนการศึกษา แผน ก แบบ ก 2 เผยแพร่วิทยานิพนธ์หรือส่วนหนึ่งของผลงานวิทยานิพนธ์เพื่อขอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท เป็นดังนี้
- วารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ
- เป็นวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ที่มีระบบประเมินบทความโดยกองบรรณาธิการหรือโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก กรณีของวารสารวิชาการที่เป็น Open Access (OA) ขอให้หลีกเลี่ยงวารสารที่ผลิตโดยสำนักพิมพ์ที่ปรากฏชื่อใน Beall’s list of Predatory, Open-Access Publishers ในช่วงเวลาที่ผลงานได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนั้น แม้ว่าวารสารนั้นจะปรากฏชื่อในฐานข้อมูลสากล ตรวจสอบรายชื่อสำนักพิมพ์ที่ควรหลีกเลี่ยงได้ที่ http://scholarlyoa.com
- เป็นวารสารวิชาการไทยที่มีระบบประเมินบทความโดยกองบรรณาธิการหรือโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก และ/หรือ มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index : TCI) ในกรณีที่มีข้อสงสัย นักศึกษาสามารถเสนอวารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการให้คณะกรรมการหลักสูตรบัณฑิตศึกษาพิจารณาก่อนส่งบทความวิจัยไปตีพิมพ์โดยกรอกแบบฟอร์มของหลักสูตรบัณฑิตศึกษา พร้อมแนบข้อมูลของวารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการฉบับล่าสุดที่แสดงหลักฐานระบุว่ามีระบบประเมินบทความโดยกองบรรณาธิการหรือโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก
- วารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ
- ที่ประชุมวิชาการ
- การจัดประชุมต้องดำเนินการโดยหน่วยงานอย่างน้อยในระดับคณะ หรือหากเป็นการประชุมวิชาการเฉพาะสาขาต้องดำเนินการร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานต่างๆ มิใช่เป็นการจัดโดยภาควิชาใดวิชาหนึ่ง หรือหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งเท่านั้น
- การจัดประชุมในข้อ1 ต้องมีการจัดทำบทความวิจัยฉบับสมบูรณ์ (full paper) เป็นรายงานการประชุมวิชาการ (proceedings)
- ต้องมีคณะกรรมการประเมินผลงานที่นักศึกษาจะเผยแพร่เสนอผลงานและประเมินผลงานที่จะลงเผยแพร่ในรายงานการประชุมวิชาการ (proceedings)
- นักศึกษาต้องไปเสนอผลงานด้วยตนเอง การนำเสนอจะเป็นการเสนอแบบ oral presentation หรือ poster presentation อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
- การระบุชื่อนักศึกษาในผลงานที่เผยแพร่ นักศึกษาสามารถระบุชื่อเป็นผู้แต่งหลักและหรือมีผู้แต่งร่วมก็ได้ และต้องระบุชื่อส่วนงานที่ศึกษาและมหาวิทยาลัย
- การเสนอหลักฐานการเผยแพร่วิทยานิพนธ์เพื่อขอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท
- กรณีเผยแพร่ผลงานในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ ที่มีระบบประเมินบทความโดยกองบรรณาธิการหรือโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก นักศึกษาต้องส่งหลักฐานการตีพิมพ์หรือการได้รับการตอบรับที่จะตีพิมพ์จากวารสารหรือสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ พร้อมสำเนาต้นฉบับผลงานวิจัย (manuscript) จำนวน 2 ชุด และเมื่อผลงานได้รับการตีพิมพ์เรียบร้อยแล้ว นักศึกษาต้องส่งสำเนาบทความ (reprint) ที่ลงเผยแพร่ให้แก่สำนักงานบัณฑิตศึกษาจำนวน 2 ชุด อีกต่างหาก
- กรณีเผยแพร่ผลงานในที่ประชุมวิชาการ นักศึกษาต้องส่งหลักฐานจำนวน 2 ชุด ดังต่อไปนี้ – บทคัดย่อ (abstract) ที่นำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการ – หลักฐานที่แสดงว่านักศึกษาไปเสนอผลงานในวันประชุมวิชาการ – สำเนาบทความ (reprint) ที่ลงเผยแพร่ในรายงานการประชุมวิชาการ (proceedings)
- ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้งานบัณฑิตศึกษามีอำนาจวินิจฉัยสั่งการ คำวินิจฉัยของผู้อำนวยการงานบัณฑิตศึกษาถือเป็นที่สิ้นสุด
เกณฑ์การพิจารณาวารสารวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติและระดับชาติ
- วารสารวิชาการที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ (approved international journal)
- มี impact factor ต่อเนื่อง
- เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล หรือ
- สอดคล้องตามเกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาการระดับนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ สกอ. กำหนด (เอกสารหมายเลข 1)
ทั้งนี้ วารสารวิชาการที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ เป็นวารสารที่แนะนำให้ สกอ. ใช้เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก และผลงานของนักวิชาการ
- วารสารวิชาการที่เป็นที่ยอมรับระดับชาติ (approved national Journal)
- มี impact factor ต่อเนื่อง หรือ
- สอดคล้องตามเกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาการระดับชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ สกอ. กำหนด (เอกสารหมายเลข 2)
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กำหนดวารสารวิชาการที่เป็นที่ยอมรับระดับชาติเพิ่มเติม โดยพิจารณาจากวารสารที่มีค่า impact factor ในฐานข้อมูล TCI* เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548-2550 ไม่น้อยกว่า 0.024 และไม่มีค่า impact factor = 0 (ศูนย์) ในปี 2550
ทั้งนี้ วารสารวิชาการที่เป็นที่ยอมรับระดับชาติ เป็นวารสารที่แนะนำให้ สกอ.ใช้เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท และใช้เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกสำหรับมหาวิทยาลัยที่มิได้เน้นการวิจัยด้วย
ฐานข้อมูล TCI* หมายถึง ฐานข้อมูลการอ้างอิงวารสารไทย ที่จัดทำโดย “ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย : Thai journal Citation Index Centre” ซึ่งจะประกาศค่า TCI impact factor ทุกวันที่ 15 กรกฎาคม ของทุกปี
เกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาการระดับนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพื่อให้วารสารวิชาการของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งกลางในการเผยแพร่งานวิชาการของประชาคมอุดมศึกษาให้มีมาตรฐานเทียงเคียงได้กับระดับนานาชาติสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยจึงกำหนดเกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาการที่สมควรได้รับการสนับสนุนไว้ ดังนี้
- กองบรรณาธิการของวารสารวิชาการในประเทศจะต้องมีศาสตราจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญาเอกหรือเทียบเท่าจากภายนอกประเทศที่มีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่อย่างต่อเนื่องเป็นที่ยอมรับในสาขาวิชานั้นๆ ไม่น้อยกว่า 25%
- บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ต้องมีบทความที่ผู้เขียนมาจากภายนอกประเทศไม่น้อยกว่า 25% ของจำนวนบทความทั้งหมด
- ผู้ประเมินบทความต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ทำงานวิจัยและมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่อย่างต่อเนื่อง
- บทความที่เขียนโดยนักวิชาการในสถาบันที่จัดทำวารสารนั้นต้องมีผู้ประเมินจากสถาบันภายนอกทั้งหมด และในแต่ละปีต้องมีผู้ประเมินจากต่างประเทศไม่น้อยกว่า 25%
- วารสารต้องออกตรงตามเวลาอย่างต่อเนื่อง และได้ตีพิมพ์เผยแพร่มาแล้วอย่างน้อย 3 ปี
- วารสารควรมีการตีพิมพ์บทความปริทรรศน์ (review article) เป็นครั้งคราว
- กำหนดให้มีการประเมินคุณภาพวารสารทุกๆ 2 ปี ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยจะมีการประเมินเบื้องต้นทุกๆ ปี
หมายเหตุ บทความที่เขียนร่วมกับนักวิชาการต่างประเทศให้อนุโลมเป็นบทความวิชาการต่างประเทศได้
ที่มา : คณะอนุกรรมการกลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการประชุมครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2551
เกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาการระดับชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพื่อให้วารสารวิชาการของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งกลางในการเผยแพร่งานวิชาการของประชาคมอุดมศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบเคียงได้กับระดับชาติ สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยจึงกำหนดเกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาการที่สมควรได้รับการสนับสนุนไว้ ดังนี้
- กองบรรณาธิการของวารสารวิชาการในประเทศจะต้องมีศาสตราจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญาเอกหรือเทียบเท่าจากภายนอกสถาบันที่จัดพิมพ์วารสารนั้น ที่มีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่อย่างต่อเนื่องเป็นที่ยอมรับในสาขาวิชานั้นๆ ไม่น้อยกว่า 25%
- บทความที่ดีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ต้องมีบทความที่ผู้เขียนมาจากสถาบันอื่นไม่น้อยกว่า 25% ของจำนวนบทความทั้งหมด
- ผู้ประเมินบทความต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ทำงานวิจัยและมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่อย่างต่อเนื่อง
- บทความที่เขียนโดยนักวิชาการในสถาบันที่จัดทำวารสารนั้นต้องมีผู้ประเมินจากสถาบันภายนอกทั้งหมด และในแต่ละปีต้องมีผู้ประเมินจากต่างสถาบันไม่น้อยกว่า 25%
- วารสารต้องออกตรงตามเวลาอย่างต่อเนื่อง และได้ตีพิมพ์เผยแพร่มาแล้วอย่างน้อย 3 ปี
- วารสารควรมีการตีพิมพ์บทความปริทรรศน์ (review article) เป็นครั้งคราว
- กำหนดให้มีการประเมินคุณภาพวารสารทุกๆ 2 ปี ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้โดยจะมีการประเมินเบื้องต้นทุกๆ ปี
หมายเหตุ
1) บทความที่เขียนร่วมกับนักวิชาการนอกสถาบันให้อนุโลมเป็นบทความวิชาการนอกสถาบันได้
2) สำหรับวารสารที่ได้รับการพิจารณาให้เป็นวารสารที่เป็นที่ยอมรับระดับชาติไปแล้วนั้นการพิจารณาตาม ข้อ 1, 2 และ 4 ให้กำหนด เป็นร้อยละ 10 ตามเกณฑ์เดิมเป็นเวลา 2 ปี นับจากวันที่ประกาศรายชื่อวารสารที่เป็นที่ยอมรับระดับชาติเพิ่มเติม
ที่มา : คณะอนุกรรมการกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการประชุมครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2551
เกณฑ์มาตรฐานวารสารวิชาการกลุ่มสาขาวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ 2552
ด้วยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ร่วมมือกันในการที่จะยกมาตรฐานการเผยแพร่งานวิชาการในประเทศให้มีคุณภาพและเพื่อผลักดันให้เกิดมาตรฐานที่ใกล้เคียง หรือเทียบได้กับนานาชาติ มาตรการหนึ่งในบรรดามาตรการทั้งหลาย คือการสนับสนุนให้เกิดวารสารทางวิชาการกลาง อันจะเป็นที่รวมและเผยแพร่ความรู้ของประชาคมวิชาการในประเทศไทย โดยไม่เพียงแต่สนองความต้องการของสถานบันใดสถาบันหนึ่ง
เพื่อให้วารสารวิชาการของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งกลางในการเผยแพร่งานวิชาการของประชาคมอุดมศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบเคียงกับระดับนานาชาติ ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจึงกำหนดเกณฑ์คุณภาพวารสารวิชาที่สมควรได้รับการสนับสนุนไว้ ดังนี้
- กองบรรณาธิการของวารสารวิชาการในประเทศต้องมีศาสตราจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิระดับปริญญาเอกจากภายนอกสถาบันที่จัดพิมพ์วารสารนั้น หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่มีผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่องเป็นที่ยอมรับในสาขาวิชานั้นๆ
- ผู้ประเมินบทความต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ทำงานวิจัยและมีผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง
- บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ต้องมีบทความที่ผู้เขียนมาจากสถาบันอื่นที่มิใช่สถาบันที่จัดทำวารสารนั้นไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนบทความทั้งหมด ในอนาคตควรมีการเพิ่มจำนวนบทความประเภทดังกล่าวให้ถึง 25% ของบทความทั้งหมดเพื่อเป็นการพัฒนา คุณภาพวิชาการของประเทศ
- บทความที่เขียนโดยนักวิชาการในสถาบันที่จัดทำวารสารนั้นต้องมีผู้ประเมินจากสถาบันภายนอกไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ประเมินทั้งหมด
- กำหนดให้มีการประเมินคุณภาพวารสารทุกๆ 2 ปี ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
- บทความแต่ละบทความต้องมีบทคัดย่อภาษาอังกฤษ ในกรณีที่ตีพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศต้องมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยด้วย
- วารสารต้องออกตรงตามเวลาอย่างต่อเนื่อง
- วารสารต้องมีบทวิจารณ์หนังสือ (book review)
- วารสารควรมีการตีพิมพ์บทความปริทรรศน์ (review article) เป็นครั้งคราว
ระดับคุณภาพวารสารวิชาการที่ตีพิมพ์ในประเทศ
ตามที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้สนับสนุนทุนวิจัยเชิงวิชาการหลากหลายประเภท ที่มีเป้าหมายหลักในการสร้างนักวิจัยอาชีพที่มีความสามารถสูง ให้สร้างองค์ความรู้ใหม่และผลิตผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่มีคุณภาพสูงนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับคุณภาพวารสารวิชาการในประเทศ และเพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับ สกว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่ตีพิมพ์ในประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย จึงได้กำหนดเกณฑ์คุณภาพวารสารทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และด้านมนุษยศาสตร์และศิลปกรรม ดังต่อไปนี้
- ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระดับคุณภาพวารสารทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แบ่งออกเป็น 5 ระดับได้แก่
ระดับ 5 excellent (ดีเยี่ยม)
ระดับ 4 very good (ดีมาก)
ระดับ 3 good (ดี)
ระดับ 2 poor (พอใช้)
ระดับ 1 to be improved (ควรปรับปรุง)
โดยมีเกณฑ์การพิจารณาคุณภาพวารสาร ดังต่อไปนี้
1) ระดับ 5: วารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล Web of Science, WOS (Science Citation Index
Expanded), MEDLINE, BIOSIS, SciFinder (CA SEARCH)*, Ei Compendex, และ INSPEC หรือ
วารสารที่โครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (Royal Golden Jubilee Ph.D Program; RGJ) ยอมรับให้อยู่ในระดับนานาชาติ
2) ระดับ 4: วารสารวิชาการที่ตีพิมพ์ในประเทศ มี Journal Impact Factor เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (จากฐานข้อมูล TCI ปี 2552-2554) ไม่ต่ำกว่า 0.100
3) ระดับ 3: วารสารวิชาการที่ตีพิมพ์ในประเทศ มี Journal Impact Factor เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (จากฐานข้อมูล TCI ปี 2552-2554) ต่ำกว่า 0.100 แต่ไม่ต่ำกว่า 0.025
4) ระดับ 2: วารสารวิชาการที่ตีพิมพ์ในประเทศ มี Journal Impact Factor เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (จากฐานข้อมูล TCI ปี 2552-2554) ต่ำกว่า 0.025 แต่ไม่ต่ำกว่า 0.010
5) ระดับ 1: วารสารวิชาการที่ตีพิมพ์ในประเทศ มี Journal Impact Factor เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (จากฐานข้อมูล TCI ปี 2552-2554) ต่ำกว่า 0.010 แต่ไม่เท่ากับ 0
หมายเหตุ * บางรายการของ SciFinder (CA SEARCH) เช่น ที่ตีพิมพ์ในวารสารของสถาบันในประเทศบางแห่ง และวารสารที่ ทราบว่าไม่มีการ review อย่างเคร่งครัด อาจไม่ได้รับการพิจารณา
วารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพจาก TCI สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตามเว็ปไซต์
|
|
https://www.facebook.com/TCI.Thai/
|
โพสท์ใน ทั่วไป
ปิดความเห็น บน ข้อปฏิบัติสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัยสำหรับบัณฑิตศึกษา
แนวปฏิบัติในการส่งนักศึกษานิเทศศาสตร์ฝึกงานในสถานประกอบการ
แนวปฏิบัติในการส่งนักศึกษานิเทศศาสตร์ฝึกงานในสถานประกอบการ
โดย อาจารย์ชีวิน สุนสะธรรม
สำหรับนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับชั้นปีที่ 2 ทุกคนจะต้องไปฝึกงานด้านนิเทศศาสตร์ที่เครือเนชั่น ถึงแม้นักศึกษาทุกคนได้ผ่านการอบรมเตรียมการฝึกงานแล้วในโครงการ Media Training ในชั้นปีที่ 1 การเข้าฝึกงานในชั้นปีที่ 2 ก็ยังประสบปัญหาเช่นกัน
ปัญหาแรกที่ได้คณะได้พบคือ การเข้ารับฝึกงานงานและจำนวนนักศึกษาที่จะไปฝึกงาน รวมถึง ความชอบของนักศึกษาในแผนกต่างๆบางครั้งก็สอดคล้องกันแต่บางครั้งก็ไม่สอดคล้องกันทำให้ ในบางครั้งนักศึกษามีจำนวนที่ต้องการไปฝึกงานในบางแผนกเยอะกว่าที่แผนกจะรองรับได้ และในบางครั้งนักศึกษาก็ไม่ทราบว่าตนเองชอบอะไรและไปฝึกในตำแหน่งที่ตนไม่ชอบ หรือบางครั้งไปฝึกในแผนกที่ตนต้องการแต่ผลของการฝึกกลับไม่เป็นอย่างที่ตนคาดหวัง ดังนั้นเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป คณะนิเทศศาสตร์ ศูนย์เนชั่นบางนาจึงหาแนวทางแก้ไขดังนี้
คณะนิเทศศาสตร์ได้จัดให้มีการอบรมให้กับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 โดยรวมมือกับกองบรรณาธิการ หัวหน้าฝ่าย ที่อยู่ในเครือเนชั่น เพื่อเข้ามา อธิบายรายละเอียดการทำงานในแผนกต่างๆ เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจว่าตนเองกำลังจะต้องไปเผชิญกับการทำงานในรูปแบบใด ก่อนที่จะตัดสินใจเลือก
การอบรมดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้นักศึกษาเลือกแผนกที่ตนกำลังจะไปฝึกงานได้ตามที่ตนต้องการ และทำให้การฝึกงานของนักศึกษามีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ปัญหาหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นในการอบรมจากรุ่นพี่เจ้าหน้าที่ที่มาอบรมให้นั่นคือหลายๆครั้งที่พูดเขาไม่ทราบว่าจะต้องพูดในเรื่องใดบ้างและจะต้องอบรมในเรื่องใดบ้าง เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ คณะนิเทศศาสตร์จึงได้จัดทำฟอร์มขึ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่มาจากเครือเนชั่นกรอกและนำฟอร์มนั้นมาประกอบการบรรยาย ทำให้การบรรยายอยู่ในขอบเขตที่นักศึกษาต้องการทราบและครอบคลุมสิ่งที่นักศึกษาจำเป็นต้องรู้เพื่อใช้ในการตัดสินใจเข้าเลือกแผนกการฝึกงาน
การจัดให้พี่เลี้ยงอบรมนักศึกษา ก่อนที่จะส่งนักศึกษา เข้าไปฝึกงานในแผนกนั้นยังทำให้ รุ่นพี่ หรือพี่เลี้ยง ได้รู้จักกับน้องๆและน้องน้องๆ ก็ได้รู้จักกับรุ่นพี่หรือพี่เลี้ยงของตนก่อนที่จะได้เข้าฝึกงานอีกด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่คณะเห็นว่ามีประโยชน์ ได้แก่ ในวันที่จัดอบรมเพื่อเข้าฝึกงานนั้น คณะ ยังได้จัดทำแบบฟอร์มให้นักศึกษาลงชื่อและเลือกแผนกที่ตนจะเข้ารับ พร้อมกับเซ็นชื่อ ทำให้การดำเนินงานในการเลือกสถานที่ฝึกงานของนักศึกษาเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นอีกด้วย
สรุปได้ว่า การจัดอบรมและเชิญพี่เลี้ยงมาบรรยายเกี่ยวกับแผนกของตนและการจัดแบบฟอร์มในการอบรมให้กับพี่เลี้ยงพร้อมกับแบบฟอร์มให้นักศึกษาได้เลือก ทำให้การดำเนินการจัดสรรนักศึกษาเพื่อเข้าฝึกงานในแผนกต่างๆเป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้นมากที่สุด
โพสท์ใน KM:ด้านการผลิตบัณฑิต, การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ, คณะนิเทศศาสตร์
ปิดความเห็น บน แนวปฏิบัติในการส่งนักศึกษานิเทศศาสตร์ฝึกงานในสถานประกอบการ
การเตรียมความพร้อมนักศึกษาก่อนเข้าฝึกงานในสถานประกอบการ (ชั้นปีที่ 1)
การเตรียมความพร้อมนักศึกษาก่อนเข้าฝึกงานในสถานประกอบการ (ชั้นปีที่ 1)
โดย อาจารย์ชีวิน สุนสะธรรม
การฝึกงานตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งนั้นเป็นแนวคิดและนโยบายของมหาวิทยาลัยเนชั่น มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เพื่อเป็นการตอบสนอกงนโยบายดังกล่าว คณะนิเทศศาสตร์ จึงได้ส่งนักศึกษาเข้าฝึกงานในชั้นปีที่ 1 มาโดยตลอด
ช่วงแรกของการส่งนักศึกษาเข้าฝึกงานนั้น คณะนิเทศศาสตร์ จะได้รับกับ คำตำหนิติเตียน จากองค์กรที่นักศึกษาไปฝึกงานอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจาก นักศึกษา ยังไม่ได้เรียนรู้ศาสตร์ใดใดของนิเทศศาสตร์ เพราะในชั้นปีที่ 1 นักศึกษาเรียนรู้แต่วิชาพื้นฐาน ดังนั้น เมื่อไปฝึกงาน จึงทำให้นักศึกษายังไม่รู้เรื่องใดๆเลยโดยเฉพาะเรื่องการใช้อุปกรณ์หรือศาสตร์ด้านการสื่อสาร ไม่เพียงแค่นั้น นักศึกษายังขาดประสบการณ์ และวินัยรวมถึง การพบปะพูดคุยกับผู้ใหญ่ จึงทำให้นักศึกษาได้รับคำตำหนิกลับมาอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากนักศึกษายังไม่มีความรู้ด้านนิเทศศาสตร์ ในการไปฝึกงานตั้งแต่ตี 1 ทำให้นักศึกษาหลายคนไม่ได้รับมอบหมายงานใดๆ จึงทำให้ขาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง สรุปได้ว่าการเรียนรู้ จากประสบการณ์จริงหรือการไปฝึกงานตั้งแต่ปีที่ 1 นั้น ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีต่อนักศึกษามากอย่างที่คาดหวังไว้
คณะนิเทศศาสตร์จึงได้จัดทำโครงการ Media Training ขึ้น เพื่อให้นักศึกษาปี 1 ได้เรียนรู้ เรื่องการฝึกงาน และเรียนรู้ เรื่องของนิเทศศาสตร์ การใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในงานนิเทศ จากอาจารย์และรุ่นพี่ที่เคยไปฝึกงานมาก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะต้องฝึกงานจริงในปี 2
การจัด Media Training Program โดยคณะนิเทศศาสตร์นั้นจัดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกันซึ่งแต่ละครั้งก็ได้มีการปรับปรุงพัฒนาไปอยู่เรื่อยๆ เริ่มจากครั้งที่ 1 คณะให้ตัวแทนจากฝ่ายต่างๆในเครือเนชั่น เข้ามาอบรมให้กับนักศึกษาพร้อมมอบหมายงานให้ทำและกลับมาตรวจงานของนักศึกษา ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นจากการอบรมในครั้งแรกนั้น คือ ตัวแทนจากฝ่ายต่างๆที่มาจากเครือเนชั่นนั้นไม่มีเวลาพอที่จะอบรมให้กับนักศึกษา และไม่มีเวลาพอที่จะตรวจงานให้กับนักศึกษา จึงสามารถจัดได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น การอบรมแบบนี้จึงต้องสิ้นสุดไป
เมื่อเข้าถึงปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์ ต้องการจะให้นักศึกษาได้ทดลองทำงานจริง คณะจึงได้จัดตั้ง ช่องยังเท (Young Te) ซึ่งเป็นสถานีสำหรับวัยรุ่นขึ้นมา เพื่อให้นักศึกษาได้ทำรายการให้กับช่องดังกล่าว โดยนักศึกษาจะต้องทำรายการทั้งสิ้น 4 รายการภายใน 5 สัปดาห์เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 รายการโดยสัปดาห์แรก คณะได้จัดให้เป้นการอบรมเท่านั้น จากการอบรมและทำรายการ ทำให้นักศึกษามีประสบการณ์ในการทำรายการ และมีประสบการณ์ในการใช้กล้อง และเครื่องมือต่างๆอย่างมากมาย แต่เนื่องจากเวลาน้อย และเร่งรัดเกินไป นักศึกษายังไม่คุ้นชินกับการทำรายการจึงทำให้บางกลุ่ม ไม่สามารถ ทำรายการได้ตามกำหนด
เมื่อมาถึงปีล่าสุด การอบรม Media Training ก็ได้เปลี่ยนรูปแบบ ให้มีการดูงานมากขึ้น และยังจัดให้มีการอบรมจากรุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วที่ทำงานในด้านสื่ออีกด้วย นอกจากนั้นยังให้นักศึกษาจัดทำรายการ Facebook Live รายการ วาไรตี้ รวมถึง จัดทำเสวนาและคลิปท่องเที่ยวเมืองไทยและโปสเตอร์โฆษณามหาวิทยาลัยอีกด้วย การที่ให้นักศึกษา ได้ทำชิ้นงานหลากหลายแบบนี้ ทำให้นักศึกษา มีความรู้ด้านนิเทศศาสตร์กว้างมากขึ้นและเข้าใจว่างานด้านนิเทศศาสตร์นั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแต่งานบรอดคาสติ้งเท่านั้น
สรุปได้ว่า การจัดโครงการ Media Training นั้น สร้างความพร้อมให้กับนักศึกษาก่อนที่จะไปฝึกงานได้เป็นอย่างดีไม่เพียงเท่านั้นยังสร้างความพร้อม ก่อนที่นักศึกษาจะขึ้นเรียนชั้นปีที่ 2 อีกด้วย นักศึกษาที่ผ่านการอบรม Media Training มานั้นจะมีวินัยและมีความตรงต่อเวลามากขึ้น พร้อมสู่การเป็นนักนิเทศศาสตร์มืออาชีพได้มากขึ้น
โพสท์ใน KM:ด้านการผลิตบัณฑิต, การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ, คณะนิเทศศาสตร์, ทั่วไป
ปิดความเห็น บน การเตรียมความพร้อมนักศึกษาก่อนเข้าฝึกงานในสถานประกอบการ (ชั้นปีที่ 1)
แนวปฏิบัติการให้บริการยานพาหนะของมหาวิทยาลัย
แนวปฏิบัติการให้บริการยานพาหนะของมหาวิทยาลัย
โพสท์ใน ทั่วไป
ปิดความเห็น บน แนวปฏิบัติการให้บริการยานพาหนะของมหาวิทยาลัย
การบริหารองค์กรโดยนำการประกันคุณภาพมาพัฒนาด้านการจัดการเรียนการสอนและงานวิจัย

การบริหารองค์กรโดยนำการประกันคุณภาพ
มาพัฒนาด้านการจัดการเรียนการสอนและงานวิจัย
แนวคิดการบริหารองค์กร โดยนำการประกันคุณภาพการศึกษามาใช้บริหารงานองค์กร
การนำระบบการประกันคุณภาพการศึกษามาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนการบริหารงาน โดยใช้วิธีการบริหารองค์กรแบบองค์รวม (Seamless) เป็นแนวทางการบริหารที่มีการเชื่อมโยงการบริหารงานทุกด้านเข้าหากัน โดยใช้การประกันคุณภาพการศึกษามาเป็นเครื่องมือในการดำเนินงาน
รูปแบบการบริหารองค์กรโดยนำการประกันคุณภาพการศึกษามาใช้บริหารงาน

รายละเอียดเอกสารประกอบเอกสารการจัดการความรู้ เรื่องการบริหารองค์กรโดยนำการประกันคุณภาพมาพัฒนาด้านการจัดการเรียนการสอนและงานวิจัยเพิ่มเติม คลิกที่นี่
โพสท์ใน KM:ด้านการผลิตบัณฑิต, KM:ด้านการวิจัย, คณะสาธารณสุขศาสตร์, งานประชาสัมพันธ์ รับนักศึกษา
ปิดความเห็น บน การบริหารองค์กรโดยนำการประกันคุณภาพมาพัฒนาด้านการจัดการเรียนการสอนและงานวิจัย
การประยุกต์ใช้การประกันคุณภาพกับการบริหารองค์กร

การประยุกต์ใช้การประกันคุณภาพกับการบริหารองค์กร
แนวคิดการประยุกต์ใช้การประกันคุณภาพการศึกษากับการบริหารองค์กร
การพัฒนาองค์กรโดยการนำการประกันคุณภาพการศึกษามาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรมีผลการดำเนินงานที่เป็นไปตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพสูง โดยการใช้การรายงานผลงานเข้าในข้อมูล HRD เพื่อใช้เป็นข้อมูลผลงานประจำปี การดำเนินงานในลักษณะนี้จะช่วยให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาผลงานได้อย่างรวดเร็วและตรงตามเป้าหมายขององค์กร
ขั้นตอนการประยุกต์ใช้การประกันคุณภาพกับการบริหารองค์กร

รายละเอียดเอกสารประกอบการจัดการความรู้ เรื่องการประยุกต์ใช้การประกันคุณภาพกับการบริหารองค์กรเพิ่มเติม คลิกที่นี่
โพสท์ใน คณะสาธารณสุขศาสตร์, งานประชาสัมพันธ์ รับนักศึกษา
ปิดความเห็น บน การประยุกต์ใช้การประกันคุณภาพกับการบริหารองค์กร
แนวทางการพัฒนารายได้สู่ชุมชน : การพัฒนาแป้งเพื่อสุขภาพ
ในปัจจุบันภาครัฐมีนโยบายในการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มในเชิงการค้าอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาประเทศที่จะพัฒนาไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตามแนวทางการพัฒนาประเทศสู่ Thailand 4.0 ให้สามารถขยายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวก่ำเป็นนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพได้มากยิ่งขึ้น
แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นผู้ส่งออกข้าวในระดับโลก แต่ประเทศไทยก็ไม่มีอำนาจในการกำหนดราคาข้าวในตลาดโลกเลย ประกอบกับมีคู่แข่งขันในตลาดโลกเป็นจำนวนมาก อาทิ เวียดนาม สหรัฐอเมริกา ออสเตรเรีย ปากีสถาน และจีน โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีเทคโนโลยีในการการพัฒนาพันธุ์ การเพาะปลูก และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น การสร้างความแตกต่างให้กับข้าวไทย จึงมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับประเทศไทยในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในด้านต่างๆ เช่น การปลูกข้าวอินทรีย์ การเพิ่มผลผลิต และการแปรรูปข้าว เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทย
ศาสตราจารย์ ดร. อรอนงค์ นัยวิกุล เมธีส่งเสริมนวัตกรรม และอาจารย์ประจำคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการศึกษา วิจัย และพัฒนาเกี่ยวกับการ แปรรูปข้าวมามากกว่า 30 ปี ได้ให้มุมมองในการพัฒนานวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ข้าว โดยได้มองถึงความคุ้นเคยและความสัมพันธ์ของข้าวที่มีต่อชาวไทยตั้งแต่สมัยอดีต ทั้งในด้านวัฒนธรรม ประเพณี สังคม และเศรษฐกิจ อันนำมาซึ่งความเจริญของประเทศไทย จวบจนปัจจุบันข้าวก็ยังคงเป็นสินค้าเศรษฐกิจหลักที่นำรายได้มาใช้เพื่อการพัฒนาประเทศอยู่ตลอดมา แต่ถ้าจะสร้างให้ข้าวมีความสำคัญต่อประเทศเช่นที่มีมาแต่เดิมตลอดไป เราคงต้องมองว่าเรากำลังทำอะไรกับข้าวอยู่ ปัจจุบันมีความแตกต่างจากอดีตมากน้อยแค่ไหน และทิศทางของอนาคตของข้าว ควรจะเป็นอย่างไร
ในอดีตบรรพบุรุษของชาวไทยได้คิดค้นสูตรอาหารมากมายจากข้าว ทั้งที่คิดทำเพื่อเป็นอาหารสำหรับพระมหากษัตริย์ เช่น อาหารตำรับชาววัง หรืออาหารชาวกรุง ชาวบ้าน และอาหาร พื้นบ้านท้องถิ่นต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์อาหารจากข้าวที่เรายังพอรู้จัก และซื้อหาได้ อาทิ ข้าวแช่ ข้าวยำ ข้าวหมก ข้าวหลาม ข้าวเส้น (ขนมจีน) ข้าวซอย ข้าวเม่าราง ข้าวเม่าหมี่ ข้าวเม่าทอด ข้าวเกรียบ และข้าวแตน หลายคนอาจไม่รู้จัก ไม่เคยทาน ไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีกระบวนการผลิตอย่างไร สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่ชี้ ให้เห็นว่าภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของเรากำลังจะสูญหายไป ดังนั้น เราจึงควรนำอดีตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาพัฒนาจนเกิดเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารจากข้าวในปัจจุบัน เพื่อสร้างโอกาส ทางการค้า อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาของประเทศ
การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวให้เป็นอุตสาหกรรมข้าวหลากหลายรูปแบบต้องดำเนินการศึกษาในทุกทาง ตั้งแต่งานวิจัยพื้นฐาน เริ่มตั้งแต่การสร้างรากฐานการผลิตข้าวด้วยพันธุ์ที่ หลากหลาย จนถึงการพัฒนากระบวนการแปรรูปข้าว ตลอดจน ผลิตภัณฑ์จากข้าว ผลิตภัณฑ์หมักดอง และผลพลอยได้จากข้าว ดังที่เห็นในปัจจุบัน เช่น ผลิตภัณฑ์ข้าวหุงสุกเร็ว ข้าวสำเร็จรูปบรรจุกระป๋องหรือบรรจุภัณฑ์อ่อนตัว ข้าวแช่เยือกแข็ง ก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่ ขนมจีน ข้าวเกรียบ ข้าวอบกรอบ น้ำมันรำข้าว เชื้อเพลิงจากแกลบ ทั้งนี้ เราควรดำเนินการพัฒนานวัตกรรมจากข้าว อย่างต่อเนื่องจนประเทศไทยได้ชื่อว่า “ ไทยเป็นผู้ผลิต ผู้ส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว ”
แนวทางการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมข้าวไทย
จากการศึกษาพบว่าการพัฒนานวัตกรรมข้าวไทยสามารถพัฒนาได้ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ดังนี้
- กลุ่มการพัฒนานวัตกรรมในระบบการเพาะปลูกข้าว โดยการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีผลผลิตและมีสารอาหารเพิ่มขึ้น เช่น Golden Rice เป็นข้าวที่มีสารเบต้า-แคโรทีนสูง รวมถึงการนำระบบเกษตรอินทรีย์เข้ามาใช้ในการปลูกข้าว และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้ในการปลูกข้าว
- กลุ่มนวัตกรรมข้าวไทยกับอุตสาหกรรมอาหารเช่น ข้าวที่ผ่านกระบวนการเพิ่มคุณค่าสารอาหาร (nutrient-enriched rice) และแป้งข้าวเจ้าที่เหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนัก (resistant starch) เป็นต้น
- กลุ่มนวัตกรรมข้าวไทยกับอุตสาหกรรมยาหรืออาหารเสริม เช่น การสกัดสารสำคัญออริซานอล (oryzanol) ไฟโตสเตอรอล (phytosterol) จากข้าว และการใช้ประโยชน์จากข้าวแดงได้จากการหมักข้าวด้วย red yeast (Monascus purpureus)
- กลุ่มนวัตกรรมข้าวไทยกับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง การนำสารสกัดจากข้าวไปใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น การนำกรดโคจิก (kojic acid) ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี (melanin) ของผิวหนัง และโปรตีนข้าว (hydrolyzed rice bran protein) เมื่อถูกนำผสมกับโปรตีนถั่วเหลืองจะมีคุณสมบัติในการลดรอยขอบตาดำ เป็นต้น
- กลุ่มนวัตกรรมข้าวไทยกับอุตสาหกรรมอื่นๆเช่น การนำแกลบซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการสีข้าวไปใช้ในอุตสาหกรรมยางรถจักรยานเพื่อให้มีลักษณะเบาและมีความยืดหยุ่นดี การนำแกลบไปเป็นส่วนผสมในการทำพื้นผิวถนน ตลอดจนการนำแกลบหรือฟางข้าวไปใช้ในอุตสาหรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมด กลุ่มเป้าหมายของการส่งออกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ตลาดยุโรปสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อ และมีความตื่นตัวในการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยและคนไทยซึ่งมีวัตถุดิบที่มี คุณค่าอยู่ในมือ อันจะสามารถนำมาใช้เพื่อการสร้างให้เกิด เป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมด้านข้าว ทั้งนี้ เราจึงควรให้ความสำคัญ กับการพัฒนาจากสิ่งที่เรามีอยู่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวท่านเองและลูกหลาน ให้สมกับคำกล่าวที่ว่า “นวัตกรรมข้าวไทย คนไทยทำได้”
ดังนั้นแนวทางการพัฒนารายได้สู่ชุมชน : การพัฒนาแป้งเพื่อสุขภาพ ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ โดยสามารถนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเผยแพร่ให้กับชุมชน ซึ่งเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรมอาหารสุขภาพ เป็นการาส่งเสริมสุขภาพในชุมชน และนำมาซึ่งรายได้เข้าสู่ชุมชนต่อไป
โพสท์ใน ทั่วไป
ติดป้ายกำกับ ข้าว, นวัตกรรมอาหาร, อาหารเพื่อสุขภาพ
ปิดความเห็น บน แนวทางการพัฒนารายได้สู่ชุมชน : การพัฒนาแป้งเพื่อสุขภาพ
คู่มือการใช้งานระบบลาหยุดงาน
ขั้นตอนการลาหยุดงานผ่าน Web Nationhouse
ขั้นตอนที่ 1 เข้าระบบ ที่ url https://nationhouse.nationgroup.com แล้ว click ที่ มุม HR จะเข้าหน้าจอ login เข้าระบบโดยใช้ user และ password เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของแต่ละคนต้องใส่ตัวอักษรตัวเล็กตัวใหญ่ให้ถูกต้อง

ขั้นตอนที่ 2 หน้าจอหลักแสดงการลาของปีปัจจุบัน
ข้้นตอนที่ 3 การลา กดที่ Tab บันทึกใบลา หรือปุ่มสร้างใบลา และกรอกข้อมูลการลาต่าง

เสร็จสิ้นการลาสำหรับบุคลากร
ขั้นตอนที่ 4 การอนุมัติใบลา (สำหรับหัวหน้างาน) กดที่ Tab อนุมัติใบลา จะปรากฎหน้าจอรายการที่รอพิจารณา กดปุ่ม Approve ในรายการที่ต้องการอนุมัติ
เอกสารฉบับเต็ม คู่มือการใช้งานระบบลาหยุดงานผ่าน Web Nationhouse
โพสท์ใน งานทรัพยากรมนุษย์, ทั่วไป
ปิดความเห็น บน คู่มือการใช้งานระบบลาหยุดงาน

