การเตรียมบทความเพื่อเสนอการตีพิมพ์ในระดับชาติและนานาชาติ

โดย ดร.ธีร์ คันโททอง

ความสำคัญการตีพิมพ์บทความสำหรับอาจารย์

การตีพิมพ์บทความสำหรับผู้ที่เป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรนั้นมีความสำคัญมาก ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือกระทรวงศึกษาธิการในอดีตจึงได้ประกาศเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๕๘ และประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งประกาศทั้งสองฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า อาจารย์ทุกท่านควรจะต้องมีการตีพิมพ์บทความเพื่อใช้ประกอบการดูแลหลักสูตรและพัฒนาตนเองในการขอตำแหน่งทางวิชาการต่อไป ซึ่งมีรายละเอียดบางส่วนดังนี้

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๕๘

๑๐. จำนวน คุณวุฒิ และคุณสมบัติของอาจารย์

๑๐.๑ หลักสูตรปริญญาตรีทางวิชาการประกอบด้วย

๑๐.๑.๑ อาจารย์ประจำหลักสูตร มีคุณวุฒิขั้นต่ำปริญญาโทหรือเทียบเท่าหรือมีตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ และต้องมีผลงานทางวิชาการที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อรับปริญญา และเป็นผลงานทางวิชาการที่ได้รับการเผยแพร่ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในการพิจารณาแต่งตั้งให้บุคคลดำรงตำแหน่งทางวิชาการอย่างน้อย ๑ รายการ ในรอบ ๕ ปีย้อนหลัง

ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. ๒๕๖๐

๕ การแต่งตั้งอาจารย์ประจำผู้ใดให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการโดยวิธีปกติให้ดำเนินการ ดังนี้

๕.๑ การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์

๕.๑.๑ คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง

ในกรณีที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ผู้นั้นต้องดำรงตำแหน่งอาจารย์ และทำการสอนมาแล้วไม่น้อยกว่าหกปี หรือ

ในกรณีที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเทียบเท่า ผู้นั้นต้องดำรงตำแหน่งอาจารย์ และทำการสอนมาแล้วไม่น้อยกว่าสี่ปี หรือ

ในกรณีที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกหรือเทียบเท่า ผู้นั้นต้องดำรงตำแหน่งอาจารย์ และทำการสอนมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และพ้นระยะทดลองการปฏิบัติงานที่กำหนดโดยสถาบันนั้น ๆ

๕.๑.๓ ผลงานทางวิชาการต้องประกอบด้วยผลงานซึ่งมีคุณภาพดี และมีปริมาณอย่างน้อย ดังต่อไปนี้

(๑) ผลงานวิจัย ๒ เรื่อง หรือ

(๒) ผลงานวิจัย ๑ เรื่อง และผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่น ๑ รายการ หรือ

(๓) ผลงานวิจัย ๑ เรื่อง และผลงานวิชาการรับใช้สังคม ๑ เรื่อง หรือ

(๔) ผลงานวิจัย ๑ เรื่อง และตําราหรือหนังสือ ๑ เล่ม

สำหรับการเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์นั้น ผู้ขออาจใช้ผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่น หรือผลงานวิชาการรับใช้สังคมหรือบทความทางวิชาการซึ่งมีคุณภาพดีมาก แทนงานวิจัย ตาม (๒) – (๔) ได้

๕.๒ การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์

๕.๒.๑ คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง ผู้ขอต้องดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่าสองปี

๕.๒.๒ ผลการสอน ให้นําความในข้อ ๕.๑.๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ต้องมีความชํานาญพิเศษในการสอน

๕.๒.๓ ผลงานทางวิชาการ ผู้ขออาจเสนอผลงานทางวิชาการ ได้ ๒ วิธี ดังนี้

วิธีที่ ๑ ผลงานทางวิชาการต้องประกอบด้วยผลงานซึ่งมีคุณภาพดี และมีปริมาณอย่างน้อย ดังต่อไปนี้

(๑) ผลงานวิจัย ๒ เรื่อง หรือ

(๒) ผลงานวิจัย ๑ เรื่อง และผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่น ๑ รายการ หรือ

(๓) ผลงานวิจัย ๑ เรื่อง และผลงานวิชาการรับใช้สังคม ๑ เรื่อง และ

(๔) ตํารา หรือ หนังสือ ๑ เล่ม

วิธีที่ ๒ ผลงานทางวิชาการต้องประกอบด้วยผลงานซึ่งมีคุณภาพ และมีปริมาณอย่างน้อย ดังต่อไปนี้

(๑) ผลงานวิจัยอย่างน้อย ๓ เรื่อง ซึ่งมีคุณภาพดีมาก อย่างน้อย ๒ เรื่อง และมีคุณภาพดี ๑ เรื่อง หรือ

(๒) ผลงานวิจัยซึ่งมีคุณภาพดีมาก อย่างน้อย ๒ เรื่อง และผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่นซึ่งมีคุณภาพดี หรือ

(๓) ผลงานวิจัยซึ่งมีคุณภาพดีมาก อย่างน้อย ๒ เรื่อง และผลงานวิชาการรับใช้สังคมซึ่งมีคุณภาพดี

สำหรับการเสนอขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์

และมนุษยศาสตร์ โดยวิธีที่ ๒ นั้น ผู้ขออาจใช้ตําราหรือหนังสือซึ่งมีคุณภาพดีมาก อย่างน้อย ๒ เล่ม และมีคุณภาพดี ๑ เล่ม แทนผลงานตาม (๑) – (๓) ได้

การนำงานวิจัยหรืองานใด ๆ ที่ทำเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อรับปริญญาประกาศนียบัตร หรือเพื่อสำเร็จการศึกษา มาเสนอเป็นผลงานทางวิชาการ ตามข้อนี้จะกระทำมิได้ เว้นแต่ผู้ขอได้แสดงหลักฐานว่าได้ทำการศึกษาหรือวิจัยเพิ่มเติมขยายผลต่อจากเรื่องเดิม จนปรากฏความก้าวหน้าทางวิชาการอย่างเห็นได้ชัด ในกรณีเช่นนี้ให้พิจารณาเฉพาะผลการศึกษาหรือวิจัยที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเท่านั้น

ดังนั้นแล้วการตีพิมพ์บทความจึงเป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญที่อาจารย์ทุกท่านจะต้องพัฒนาตนเองซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อหลักสูตรและตนเองต่อไป

จากการอบรมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ การผลิตและพัฒนาผลงานวิจัยให้ได้รับการตีพิมพ์ วันที่ 14 กันยายน 2563 จัดโดยมหาวิทยาลัยเนชั่น โดยมีรศ. ดร.ประทุม สร้อยวงค์ Ph.D., Dip. APMSN คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาเป็นวิทยากร ซึ่งก็ได้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมอบรมเกิดความรู้และความเข้าใจในการเตรียมบทความเพื่อการตีพิมพ์เป็นอย่างยิ่งซึ่งมีสาระสำคัญที่พอจะสรุปได้ดังนี้

การเตรียมบทความเพื่อตีพิมพ์

ประการแรก ต้องตอบคำถามก่อนว่า ทำไมต้องเผยแพร่บทความด้วย?

  1. แบ่งปันความคิดและความเชี่ยวชาญ โดยปกติแล้วมีวัตถุประสงค์เพื่อการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเพื่อประโยชน์สาธารณะ
  2. ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หรือทฤษฎี
  3. ผลการวิจัยจะเป็นการแจ้งหรือมีผลต่อนโยบายสาธารณะของรัฐได้
  4. การนำไปใช้เพื่อการดำรงตำแหน่งทางวิชาการ
  5. ก้าวหน้าในอาชีพการงาน
  6. พัฒนาของตัวเองด้านความรู้และทักษะ

ประการที่สอง เราควรมีวิธีการเขียนบทความอย่างไร?

  1. การจัดสรรเวลาในการเขียน เราต้องปกป้องเวลาเขียนของคุณอย่างไร้ความปรานี
  2. ความลับของความสำเร็จในการเขียนบทความ คือ ความสม่ำเสมอไม่ใช่จำนวนวันหรือจำนวนชั่วโมง
  3. มีความต่อเนื่องและตั้งเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมสำหรับการเขียนในแต่ละวัน

ประการที่สาม การเลือกวารสารอย่างไรให้เหมาะสมกับบทความ ซึ่งต้องพิจารณาอะไรบ้าง?

  1. ใครเป็นผู้อ่าน หมายถึง เราเขียนบทความที่ต้องการให้ใครได้อ่าน วารสารแต่ละวารสารก็จะผู้ที่สนใจอ่านแตกต่างกันไป
  2. บทความที่เราเขียนตรงกับ Aim & scope ของวารสารที่จะตีพิมพ์หรือไม่
  3. วารสารนั้นตีพิมพ์ตรงกับประเภทของบทความที่เราเขียนหรือไม่
  4. ดูคำแนะนำหรือเกี่ยวกับการตีพิมพ์ของวารสารที่เลือก หรือ author guideline
  5. พิจารณาค่า Impact factor (IF) ด้วยว่ามีค่าเท่าไหร่
  6. วารสารมี peer-reviewed ด้วยหรือไม่และพิจารณาลักษณะของ reviewer ด้วย
  7. ใครหรือหน่วยงานใดเป็น editorial board
  8. วารสารนั้นอยู่ในฐานข้อมูลอะไร

การพิจารณาค่า Impact factor และฐานข้อมูลของวารสารเพื่อตีพิมพ์

  1. ดัชนีชี้วัดชนิดต่าง ๆ ของวารสาร (Journal Metrics)
  • ค่า Impact factor หมายถึง จำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่บทความของวารสารนั้นได้รับการอ้างอิงในปีปัจจุบัน หลังจากที่ตีพิมพ์ไปแล้ว 2 ปี
  • ค่า 5-year Impact factor หมายถึง จำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่บทความของวารสารนั้นได้รับการอ้างอิงในปีปัจจุบัน หลังจากที่ตีพิมพ์ไปแล้ว 5 ปี
  • ค่า Immediacy Index หมายถึง จำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่บทความของวารสารนั้นได้รับการอ้างอิงภายในปีเดียวกัน กับปีพิมพ์ (วัดความเร็วของการถูกอ้างอิง)
  1. ค่า Impact factor คือ

เป็นค่าที่ใช้วัดและจัดอันดับวารสารทั้งหมดที่อยู่ในฐานข้อมูลสากล Web of Science (WOS) ซึ่งประกอบด้วยฐานข้อมูลย่อย 3 ฐานข้อมูล ได้แก่

– ฐานข้อมูล Science Citation Index (SCI) Expanded

– ฐานข้อมูล Social Science Citation Index (SSCI) และ

– ฐานข้อมูล Arts & Humanities Citation Index (A&HCI)

  1. ค่าควอไทล์ (Q) คือ

เป็นดัชนีอีกชนิดหนึ่งซึ่งกำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เป็นการนำวารสารที่อยู่ในกลุ่มสาขาวิชานี้มาเรียงลำดับตามค่า Impact factor จากน้อยไปหามาก และสามารถแบ่งวารสารออกเป็น 4 กลุ่มเท่า ๆ กัน คือ กลุ่ม Q1, Q2, Q3, และ Q4

Q4 = เป็นกลุ่มของวารสารที่อยู่ต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์  ที่ 25

Q3 = เป็นกลุ่มของวารสารที่อยู่ระหว่างเปอร์เซ็นไทล์ที่ 25 และค่ามัธยฐาน (median)

Q2 = เป็นกลุ่มของวารสารที่อยู่ระหว่างค่ามัธยฐาน (median) และเปอร์เซ็นไทล์ที่ 75

Q1 = เป็นควอไทล์สูงสุด เป็นกลุ่มของวารสารที่อยู่เหนือเปอร์เซ็นไทล์ที่ 75

  1. ค่า SJR และค่าควอไทล์ (Q) คือ

SJR ย่อมาจาก SCImago journal rank ให้บริการฟรีบนเว็บไซต์ SCImago Journal & Country Rank (http://www.scimagojr.com) เป็นดัชนีที่ครอบคลุมบทความวารสารสาขาวิชา ต่าง ๆ จำนวนกว่า 18,000 ชื่อจากฐานข้อมูล Scopus ของบริษัท Elsevier ซึ่งจะมีการใช้วิธีในการคำนวณหาค่า SJR ที่แตกต่างจากการคำนวณหาค่า Impact factor กล่าวคือ การคำนวนณจะอาศัยหลักการอัลกอริทึมของ Google PageRank โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้

1) สาขาวิชาและชื่อเสียงของวารสารมีผลโดยตรงต่อจำนวนการอ้างอิง

2) มีการ Normalize หรือปรับค่าการอ้างอิงวารสารตามสาขา

3) วารสารที่ได้รับการอ้างอิงจากวารสารที่มีค่า SJR สูงอยู่แล้วจะมีผลทำให้วารสารนั้นมีค่า SJR สูงตามไปด้วย

ปัจจุบัน SJR ได้เริ่มมีความสำคัญในประเทศไทย เมื่อ สมศ. หรือสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) กำหนดเกณฑ์การประเมินคุณภาพงานวิจัยที่ตีพิมพ          ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดย

ให้น้ำหนักคุณภาพของวารสารตามค่าควอไทล์ Q1, Q2, Q3, Q4 จากฐานข้อมูลการจัดอันดับวารสารของ SJR

การเลือกวารสารสำหรับตีพิมพ์

ควรพิจารณาวารสารที่เหมาะสมกับบทความของเรานั้น ควรพิจารณาค่า Impact factor เป็นส่วนประกอบสำคัญเพราะจะเป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของวารสาร ซึ่งวัดจำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่บทความในวารสารนั้นจะได้รับการอ้างอิงในแต่ละปีและยังมีผลต่อคะแนนในการใช้ประกอบการประกันคุณภาพ (QA) ของหลักสูตรอีกด้วย

เคล็ดลับ 5 อย่างของการเขียนเพื่อเผยแพร่ในเชิงปฏิบัติ

  1. การเลือกชื่อเรื่องที่ดี

– ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ?

– ทำให้ชัดเจนว่าบทความนี้เกี่ยวกับอะไร ?

– สั้นที่สุดโดยไม่สูญเสียข้อความ ?

– แนวคิดหลักการวางไว้ที่จุดเริ่มต้น

2. คำสำคัญ ส่วนสำคัญของการค้นหาบทความ

– คำหลักติดแท็กบทความของคุณในวรรณกรรมค้นหาผ่านเครื่องมือค้นหาและดัชนี

– ผู้เขียนเลือกคำสำคัญที่ส่ง (ปกติ 5-8 คำ / วลี)

– ตรวจสอบ National Library of Medicine -Medical หัวเรื่อง (MeSHterms) สำหรับมาตรฐานตัวอธิบาย (https://meshb.nlm.nih.gov)

– เลือกคำหลักที่เหมาะสม แต่ไม่ซ้ำซ้อนกับชื่อเรื่อง

3. บทคัดย่อ (ส่วนที่สำคัญมาก)

– เป็นการให้ข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการทำความเข้าใจในสิ่งที่ทำและวิธีการดำเนินงานของบทความ

– ต้องมีข้อมูลสำคัญครบทุกประเด็น (เช่น ตัวอย่าง วัตถุประสงค์ ขนาดหรือตัวแปร ระเบียบวิธีวิจัย ผลการวิจัย)

– บทคัดย่อโดยทั่วไปควรใช้คำประมาณ 250-350 คำ

– ต้องมีเนื้อหาครบเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสารที่ต้องการตีพิมพ์

– ควรระวังข้อมูลที่เกินความจำเป็น

– ควรมีข้อสรุปที่ได้จากการวิจัย

– ควรระวังข้อผิดพลาดด้านไวยากรณ์ การสะกดคำ หรือเครื่องหมายวรรคตอน

4. เขียนซับซ้อนข้อมูลในเงื่อนไขที่ต้องเข้าใจง่าย ๆ

– บทความที่ดีที่สุด คือ บทความที่มีความซับซ้อนข้อมูลในรูปแบบที่เรียบง่ายและเข้าใจได้ง่าย ๆ

– ผู้อ่านกับประเภทของข้อมูลในบทความนั้น ควรที่จะคล้ายคลึงกันและตรงตามความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย

– การเขียนบทความนั้นเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้และต้องใช้การปฏิบัติ

5. ตั้งเป้าให้สูงคาดว่าจะมีการแก้ไข

– การแก้ไขตามเพื่อนที่มีคุณภาพสูงตรวจสอบผลผลิตผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งที่สุด

– วารสารที่มีคุณภาพสูงสุดมักจะให้การทบทวนโดยเพื่อนที่มีประโยชน์ที่สุดโดยไม่คำนึงถึงของการตัดสินใจของกองบรรณาธิการ

เอกสารอ้างอิง

รศ. ดร.ประทุม สร้อยวงค์ Ph.D., Dip. APMSN คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การอบรมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ การผลิตและพัฒนาผลงานวิจัยให้ได้รับการตีพิมพ์ วันที่ 14 กันยายน 2563 จัดโดยมหาวิทยาลัยเนชั่น

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๕๘ ค้นหาเมื่อ 21 มิถุนายน 2564 จาก http://www.mua.go.th/users/bhes/front_home/criterion58/criterion%20_m58.PDF

ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ค้นหาเมื่อ 21 มิถุนายน 2564 จาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/265/43.PDF

อ่านเอกสารเพิ่มเติม:

BasicStatistics_1 BasicStatistics_2 ExperimentalResearch HowToWriteAnArticle NonExperimentalResearch

ข้อความนี้ถูกเขียนใน คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

ใส่ความเห็น