รูปแบบการเขียนบทความวิจัย

การเขียนบทความวิจัยมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 3 ส่วนคือ ส่วนนำ ส่วนเนื้อหา และส่วนท้าย ในการเขียนแต่ละส่วน แต่ละประเด็น ผู้เขียนต้องพยายามสรุปเนื้อหาให้ได้เฉพาะส่วนที่สำคัญนำมาร้อยเรียงให้เกิดความเชื่อมโยงและต่อเนื่องกัน ดังนี้
1.ส่วนนำ ประกอบด้วย
1.1 ชื่อเรื่อง สำหรับบทความวิจัยจะใช้ชื่อเรื่องของผลงานวิจัยนั้นเอง
1.2 บทคัดย่อ เป็นการสรุปงานวิจัยโดยครอบคลุมประเด็นความเป็นมาของปัญหาการวิจัย วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการวิจัย และผลการวิจัยที่ค้นพบ
2.ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย
2.1ความเป็นมาของปัญหาการวิจัย เป็นการนำเสนอให้ผู้อ่านทราบเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการวิจัยเรื่องนั้นๆ
2.2วัตถุประสงค์การวิจัย ในส่วนนี้แหล่งเผยแพร่อาจกำหนดให้เขียนคำถาม และสมมติฐานการวิจัยด้วย
2.3วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการนำเสนอรายละเอียดประชากร กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือในการวิจัย ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
2.4การเสนอผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการวิจัยเพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัยแต่ละข้อ
2.5ข้อเสนอแนะจากการวิจัย สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือสำหรับการวิจัยในครั้งต่อไป
3.ส่วนท้าย
ส่วนท้ายของบทความวิจัยอาจกล่าวถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยนี้ก็ได้ จากนั้นต่อด้วยบรรณานุกรม

ข้อมูลอ้างอิง
สุมาลี สังข์ศรี. 2560. แนวทางสร้างสรรค์งานวิชาการ. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

โพสท์ใน คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์ | ปิดความเห็น บน รูปแบบการเขียนบทความวิจัย

แนวปฏิบัติในการทวนสอบผลสัมฤทธิ์

มาตรฐานผลการเรียนรู้ที่กำหนดใน มคอ.3 และ มคอ.4 อย่างน้อย ร้อยละ 25 ของรายวิชาที่เปิดสอนในแต่ละปีการศึกษา

เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการอุดมศึกษา ประกาศคณะกรรมการการอุดมศึกษา เรื่องแนวทางการปฏิบัติตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2552 (คณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2552) ซึ่งได้กำหนดให้มีการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาตามแห่งชาติพ.ศ. 2552 และเพื่อเป็นการประกันคุณภาพของบัณฑิตในระดับอุดมศึกษา  คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น จึงกำหนดแนวปฏิบัติในการทวนสอบผลสัมฤทธิ์นักศึกษา ดังนี้

  1. แต่งตั้งคณะกรรมการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ในแต่ละปีการศึกษา ประกอบไปด้วย ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณบดี เป็นประธาน กรรมการหลักสูตรหรืออาจารย์ประจำหลักสูตร และอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหลักสูตร เป็นกรรมการ
  2. จัดทำคู่มือการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษา
  3. ให้หลักสูตรที่เปิดดำเนินการจัดส่งรายชื่อรายวิชาที่เปิดสอนในปีการศึกษานั้นๆโดยแบ่งเป็น ภาคเรียนที่ 1 และภาคเรียนที่ 2 ไปยังคณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์
  4. คณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์จะดำเนินการสุ่มรายวิชาอย่างน้อยร้อยละ 25 ของรายวิชา ที่เปิดสอนในแต่ละปีการศึกษาโดยแบ่งการสุ่มเป็นภาคเรียนที่ 1 และภาคเรียนที่ 2 ของแต่ละหลักสูตรเพื่อ ดำเนินการทวนสอบ โดยจะไม่ทำการทวนสอบรายวิชาเดิมที่เคยทวนสอบมาแล้วในปีการศึกษานั้น ๆ และพยายามกระจายการทวนสอบให้ครบทุกรายวิชาในหลักสูตรตลอดระยะเวลาที่กำหนดของหลักสูตร เมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษาคณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์จะแจ้งรายชื่อรายวิชาที่จะทวนสอบไปยังหลักสูตรเพื่อให้  หลักสูตรประสานงานกับผู้รับผิดชอบรายวิชาในการจัดเตรียมเอกสารต่างๆ

4.1 การดำเนินการทวนสอบผลสัมฤทธิ์นักศึกษา

เมื่อคณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ได้รายวิชาที่จะทำการทวนสอบแล้ว กรรมการจะประสานงานไปเพื่อให้หลักสูตรจัดส่งเอกสารต่าง ๆ มาเพื่อใช้ในการทวนสอบซึ่งประกอบด้วย

  1. รายละเอียดของหลักสูตร หรือ มคอ.2
  2. รายละเอียดของรายวิชาหรือ มคอ.3
  3. รายงานผลการดำเนินการของรายวิชาหรือ มคอ.5
  4. ชิ้นงานที่รายวิชาใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษา ได้แก่รายงาน ข้อสอบ บทความวิชาการ
  5. เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ในแต่ละด้าน

4.2 วิธีการทวนสอบ

คณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์อาจเลือกใช้วิธีการทวนสอบต่าง ๆ คือ การทวนสอบจากเอกสารต่าง ๆ การทวนสอบโดยการสัมภาษณ์อาจารย์ผู้สอน การทวนสอบโดยการสัมภาษณ์นักศึกษา ซึ่งโดยปกติจะทวนสอบจากเอกสารต่าง ๆ ก่อน ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอาจเลือกใช้การสัมภาษณ์อาจารย์ผู้สอนหรือนักศึกษา เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม

4.3 กระบวนการทวนสอบผลสัมฤทธิ์

ในการทวนสอบคณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์จะดำเนินการทวนสอบโดยใช้แนวทางดังนี้คือ

4.3.1 การวิเคราะห์ความสอดคล้องของรายวิชา (มคอ.3 หมวดที่ 2 จุดมุ่งหมายของรายวิชา หรือ หมวดที่ 4 การพัฒนาผลการเรียนรู้รายวิชา หรือ หมวดที่ 5 แผนการสอนและการประเมินผล) กับหลักสูตร (มคอ.2 หมวดที่ 4 ผลการเรียนรู้ กลยุทธ์การสอนและการประเมินผล และ curriculum mapping) เพื่อประเมินว่ารายวิชาได้ดำเนินการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนครอบคลุม ครบถ้วน และตรงตามที่หลักสูตรกำหนดหรือไม่ รวมถึงความสอดคล้องของแต่ละหมวดที่เกี่ยวข้องกับผลการเรียนรู้ กลยุทธ์การสอนและการประเมินผลในรายวิชา

4.3.2 การประเมินผลการเรียนรู้ของรายวิชาในด้านต่างๆ และผลการประเมินผลการเรียนรู้ของรายวิชาด้านต่างๆสอดคล้องกับผลการเรียนรู้หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนด ความเหมาะสมของรูปแบบวิธีการสอนกับวิธีการประเมินผล และข้อคิดเห็น

4.3.3 คณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ทำการสรุปผลการทวนสอบในภาพรวมของรายวิชา และข้อเสนอแนะในภาพรวมที่ได้จากการทวนสอบรายวิชา

4.4.4 คณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์จัดทำรายงานการทวนสอบผลสัมฤทธิ์นักศึกษา เพื่อส่งให้กรรมการบริหารหลักสูตร และคณะกรรมการบริหารคณะเพื่อดำเนินการวางแผนการพัฒนา และปรับปรุงหลักสูตรต่อไป

รายงานการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ตามมาตรฐานผลการเรียนรู้รายวิชาจะประกอบด้วยส่วนต่าง คือ

  1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
  2. รายวิชาในแผนการศึกษาในหลักสูตรและรายวิชาที่ทวนสอบผลสัมฤทธิ์
  3. การกระจายความรับผิดชอบมาตรฐานผลการเรียนรู้จากหลักสูตรสู่รายวิชา
  4. ผลการทวนสอบแต่ละรายวิชา (ตามจำนวนรายวิชาที่ทวนสอบ)
  5. สรุปผลการทวนสอบรายวิชาของหลักสูตร
  6. ภาคผนวก : คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์
  7. หลังจากรับทราบผลการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ตามมาตรฐานผลการเรียนรู้รายวิชา

5.1.1 อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชานำข้อมูล/ผลการทวนสอบผลสัมฤทธิ์มารายงานไว้ใน มคอ.5 หมวดที่ 3 สรุปผลการจัดการเรียนการสอนของรายวิชา ข้อ 7 การทวนสอบผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษา

5.1.2 อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรหรืออาจารย์ประจำหลักสูตรนำรายงานผลการทวนสอบผลสัมฤทธิ์เป็นเอกสารหลักฐานในการประเมินคุณภาพหลักสูตรใน มคอ.7 หมวดที่ 6 สรุปการประเมินหลักสูตร ข้อ 3 การประเมินคุณภาพหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิฯ ดัชนีบ่งชี้ผลการดำเนินงานข้อที่ 6 “มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาตามมาตรฐานผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ใน มคอ.3 และ มคอ.4 (ถ้ามี) อย่างน้อยร้อยละ 25 ของรายวิชาที่เปิดสอนในแต่ละปีการศึกษา”

5.1.3 อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรหรืออาจารย์ประจำหลักสูตรนำรายงานผลการทวนสอบผลสัมฤทธิ์รายวิชาไปให้ข้อเสนอในการพัฒนาหลักสูตร ในหมวดที่ 9 แผนการดำเนินการเพื่อพัฒนาหลักสูตร ข้อ 2 ข้อเสนอในการพัฒนาหลักสูตร

5.1.4 คณะกรรมการบริหารคณะนำผลการทวนสอบไปทบทวนเพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายการปรับปรุงหลักสูตรต่อไป

ตารางสรุปการดำเนินการทวนสอบผลสัมฤทธิ์

ผู้รับผิดชอบ กิจกรรม ผลที่ได้ ช่วงเวลา
คณบดี แต่งตั้งคณะกรรมการ            ทวนสอบผลสัมฤทธิ์ คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ ก่อนเปิดภาคการศึกษา
คณะกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ 1.ประชุมและจัดทำคู่มือการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ คู่มือการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ ก่อนเปิดภาคการศึกษา
2.ประชุมและเตรียมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์

-หลักสูตรส่งรายวิชาที่เปิดสอน

-สุ่มรายวิชาร้อยละ 25

-แจ้งรายวิชาและขอเอกสาร

แผนการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ ก่อนเปิดภาคการศึกษา
3.ดำเนินการทวนสอบผลสัมฤทธิ์

-สรุปรูปแบบการทวนสอบฯ

-ปฏิบัติการทวนสอบฯ

-สรุปผลการทวนสอบฯ

-เขียนรายงานผลการทวนสอบฯ

รายงานผลการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ สิ้นสุดภาคการศึกษา
4.รายงานผลการทวนสอบ

-ต่อผู้รับผิดชอบรายวิชา

-ต่อผู้รับผิดชอบหลักสูตร

-ต่อคณะกรรมการบริหารคณะ

รายงานผลการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ สิ้นสุดภาคการศึกษา
คณะกรรมการบริหารคณะ ประชุมและสะท้อนผลเพื่อการปรับปรุง ผลการประชุมและข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุง สิ้นสุดภาคการศึกษา
โพสท์ใน ทั่วไป | ปิดความเห็น บน แนวปฏิบัติในการทวนสอบผลสัมฤทธิ์

กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

จากนิยามของการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นแนวการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างความรู้ โดยการใช้กระบวนการทางปัญญา(กระบวนการคิด) กระบวนการทางสังคม (กระบวนการกลุ่ม) และให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมในการเรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญต้องจัดให้สอดคล้องกับความสนใจ ความสามารถและความถนัดเน้นการบูรณาการความรู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ ใช้หลากหลายวิธีการสอนหลากหลายแหล่งความรู้สามารถพัฒนาปัญญาอย่างหลากหลายคือ พหุปัญญา รวมทั้งเน้นการวัดผลอย่างหลากหลายวิธี (พิมพันธ์ เดชะคุปต์, 2554)

วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.การจัดการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้เรียนรู้ โดยพยายามจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สื่อ และสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น ผู้สอนจึงต้องมีหน้าที่เตรียมจัดสถานการณ์และกิจกรรมต่างๆ นำทางไปสู่ การเรียนรู้ โดยไม่ใช้วิธีบอกความรู้โดยตรง
2.การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกับคนอื่น ด้วยการใช้การสอนโดยให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกัน(Cooperative Learning) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละ 4-5 คน โดย สมาชิกในกลุ่มมีระดับความสามารถแตกต่างกัน สมาชิกทุกคนมีบทบาทหน้าที่ร่วมกันในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย วิธีการแบบนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในเชิงบวก รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายจากกลุ่ม เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคมและได้ใช้กระบวนการกลุ่มในการทำงานเพื่อสร้างความรู้ให้กับตนเอง

การติดตามผลลัพธ์การเรียนรู้ผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอน
ตัวบ่งชี้ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษา
1.นักศึกษาทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่ม แสดงความคิดเห็นในการนำเสนอ อภิปรายอย่างมีเหตุผล
2.นักศึกษาได้ฝึกค้นคว้า รวบรวม วิเคราะห์ และ สังเคราะห์ ข้อมูล จากรายงานที่ได้รับมอบหมาย
3.นักศึกษาได้ฝึกตนเองให้มีวินัย และ รับผิดชอบในการทำงาน

ข้อมูลอ้างอิง
พิมพันธ์ เดชะคุปต์.2554.ทักษะ5Cเพื่อการเรียนรู้และการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ. พิมพ์ครั้งที่ 6,กรุงเทพฯ,สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

โพสท์ใน การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ, คณะนิเทศศาสตร์, คณะบริหารธุรกิจและรัฐประศาสนศาสตร์ | ปิดความเห็น บน กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

Keynote Address: The use of online media by the elderly in Lampang

อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง

รักษาการคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น

การบรรยายพิเศษ (Keynote Address) เรื่อง The use of online media by the elderly in Lampang

ในการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น

การใช้สื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง นับเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งของครอบครัวและชุมชน ซึ่งสามารถพัฒนาได้ในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก โดยการปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละภูมิภาค ซึ่งการบรรยายประกอบด้วยเนื้อหาดังต่อไปนี้

1. สถานการณ์ของผู้สูงอายุในประเทศไทย

2. ผลกระทบของผู้สูงอายุในประเทศไทยและจังหวัดลำปาง

3. แนวทางการแก้ปัญหาของผู้สูงอายุในประเทศไทยและจังหวัดลำปาง

4. การใช้สื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง

 

1. สถานการณ์ของผู้สูงอายุในประเทศไทย

สถานการณ์ผู้สูงอายุของโลกและอาเซียน

จำนวนผู้สูงอายุของประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากในครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โดยในปี 1960 มีประชากรเพียง 3 พันล้านคนทั่วโลก และในปี 2016 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 7,433 ล้าน โดยเป็นประชากรที่อายุเกิน 60 ปี ถึงประมาณ 929 ล้านคน นั่นหมายถึง 12.5 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกทั้งหมด

ประเทศญี่ปุ่นมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงที่สุดในโลกและเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ส่วนประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้สูงอายุ 16.5 เปอร์เซ็นต์หรือ 7 ล้านคน นั่นหมายความว่าเราใกล้เคียงกับสังคมผู้สูงอายุเร็วๆ นี้

ในปี 2016 สมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนมีประชากรรวมทั้งสิ้น 639 ล้านคน โดยมี 61 ล้านคนอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 9.6 ของประชากรทั้งหมด
ประเทศสิงคโปร์มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดในอาเซียน คิดเป็นร้อยละ 18.7 ของประชากรทั้งหมด

ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศไทยซึ่งมีสัดส่วนของผู้สูงอายุอยู่ที่ 16.5% ของประชากรทั้งหมด

สถานการณ์ผู้สูงอายุของประเทศไทย

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของประชากรสูงถึงร้อยละ 3 แต่ปัจจุบันอัตราการเติบโตของประชากรอยู่ที่ 0.5% ในขณะที่ประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันประเทศไทยมีประชากร 68 ล้านคน แต่มีประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 11 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 16.5 ของประชากรทั้งหมด เมื่ออัตราการเกิดลดลง และประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีลดลง ขณะที่ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีมากขึ้น คาดว่าในปี 2562 ประเทศไทยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปหรือผู้สูงอายุจำนวนมากกว่าประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีขึ้นไปหรือประชากรเด็ก นั่นคือปัญหาที่ควรจะเตรียมไว้ล่วงหน้า

สถานการณ์สูงอายุของจังหวัดลำปาง

จังหวัดลำปางตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยและเป็นจังหวัดที่มีอัตราผู้สูงอายุสูงเป็นอันดับสองของประเทศไทย ดัชนีดังกล่าวใกล้เคียงกับจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นดัชนีผู้สูงอายุที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดยผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้นในเขตภาคเหนือและในเขตภาคกลาง ส่วนภาคใต้มีอัตราผู้สูงอายุอยู่ในระดับต่ำ

ผู้สูงอายุในประเทศไทยส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ในจำนวนนี้ 34.3 เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงอายุมีฐานะยากจน มีรายได้ประมาณ 2,700 บาทต่อเดือน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือลูกสาวและลูกชาย ผู้สูงอายุในประเทศไทยส่วนใหญ่มีรายได้น้อยและต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ในปีพ.ศ. 2562 จะมีผู้สูงอายุจำนวน 8 ล้านคนที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ซึ่งต้องใช้งบประมาณถึง 63,219 ล้านบาทต่อปี

ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงได้ให้ความสำคัญกับชมรมผู้สูงอายุ ด้วยความหวังที่จะมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของชุมชนและช่วยผู้สูงอายุให้เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายการสนับสนุน ในปีพ.ศ.2560 มีชมรมผู้สูงอายุกว่า 26,263 แห่งในประเทศไทย

2. ผลกระทบของผู้สูงอายุในประเทศไทยและจังหวัดลำปาง

เมื่อประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุหรือสังคมผู้สูงอายุ ส่งผลถึงการเปลี่ยนโครงสร้างประชากรของประเทศไทยสู่สังคมผู้สูงอายุ มีผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในระดับมหภาคและในระดับจุลภาค เช่น ส่งผลกระทบต่อระดับมหภาค ในประชากรวัยทำงานหรือกำลังแรงงานลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลง เนื่องจากประชากรในวัยเด็กและผู้สูงอายุสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้น้อย หากประเทศจำเป็นต้องรักษาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน (จีดีพี) ประเทศจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพของกำลังแรงงาน หรือใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อช่วยในอุตสาหกรรมการผลิต

ผลกระทบต่องบประมาณของรัฐบาล เมื่อประเทศไทยมีจำนวนประชากรวัยทำงานลดลง ก็จะสามารถจัดเก็บภาษีได้ลดลงด้วย แม้ว่าจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีจากผู้สูงอายุได้

ผลกระทบต่องบประมาณของรัฐเนื่องจากต้นทุนทางสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 25,315 ล้านบาทในปี 2523 เป็น 138,578 ล้านบาท ในปี 2543 และ 381,387 ล้านบาทในปี 2560

ขณะที่กำลังแรงงานต้องดูแลผู้สูงอายุ จะส่งผลต่อการออมของครัวเรือนและประเทศชาติ ผู้เกษียณอายุหรือผู้สูงอายุไม่มีรายได้ ต้องนำเงินฝากออมทรัพย์ออกมาใช้ นอกจากนี้ครอบครัวปัจจุบันมีบุตรน้อยหรือไม่มีเลย พวกเขาไม่ตระหนักถึงความจำเป็นในการออมมาก ดังนั้นความต้องการลงทุนของประชาชนจะลดลงซึ่งสัมพันธ์กับการออม

ผลกระทบต่อโครงการประกันสังคมและความมั่นคงแห่งชาติ รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนมากในแต่ละปีประมาณ 1.4-2.5 แสนล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 8 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

ในกรณีที่ประชากรวัยทำงานลดลง ภาวะแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตจึงมีจำนวนน้อยลง ประเทศได้นำเข้าแรงงานที่มีฝีมือมากขึ้นจากต่างประเทศ หรือขยายเกณฑ์การเกษียณอายุเป็น 65 ปีหรือ 70 ปีเพื่อให้มีกำลังแรงงานเพียงพอในระบบการผลิตของประเทศ

นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่สนับสนุนวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น การขาดสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ การขนส่งสาธารณะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการขนส่ง ซึ่งประเทศไทยยังคงมีปัญหาด้านการคมนาคมขนส่งสำหรับผู้สูงอายุอยู่

3. แนวทางการแก้ปัญหาของผู้สูงอายุในประเทศไทยและจังหวัดลำปาง

เป็นที่คาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปี พ.ศ.2564 เมื่อมีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ดังนั้นเราจึงมีเวลาสั้นๆ ในการเตรียมข้อมูลต่อไปนี้

  1. การปรับปรุงฐานข้อมูลผู้สูงอายุ เพื่อที่จะติดตามอย่างใกล้ชิด และเพื่อช่วยให้พวกเขาได้อย่างทั่วถึงและตอบสนองความต้องการของพวกเขา
  2. สร้างหลักประกันสุขภาพและการรักษาพยาบาลตามจำนวนโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นและปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในประเทศไทย ประมาณ 7,000 แห่ง แต่ส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลที่มีคุณภาพที่มีแพทย์, พยาบาล และเครื่องมือที่เพียงพอนั้นตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ แต่ในเมืองเล็กๆ จะมีแพทย์, พยาบาลและเครื่องมือมีไม่เพียงพอ
  3. การแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้ดูแล โดยการพัฒนาแผนการผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการดูแลผู้สูงอายุที่เป็นทางการ จะมีคุณภาพและมาตรฐานที่เพียงพอ
  4. สร้างหลักประกันรายได้และส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุ ตัวอย่างเช่น กองทุนประกันสังคม, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ, กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ
  5. การส่งเสริมการจ้างงานของผู้สูงอายุรวมทั้งการขยายอายุเกษียณจาก 60 ปีเป็น 65 ปี เพื่อให้ผู้สูงอายุมีรายได้และประสบการณ์และมีศักยภาพเต็มที่ นอกจากนี้ยังแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้วย
  6. สร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน เพื่อให้สามารถดูแลผู้สูงอายุได้มากที่สุด

4. การใช้สื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง

การศึกษาการใช้สื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการใช้สื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง สำหรับใช้ในการสื่อสารภายในครอบครัวของพวกเขา ภายในเครือข่ายของพวกเขาและระหว่างเครือข่ายของพวกเขาและสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน เพื่อให้สามารถดูแลผู้สูงอายุได้มากที่สุด

การศึกษา เรื่อง การใช้สื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่

  1. การสำรวจพฤติกรรมการใช้สื่อของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง
  2. การฝึกอบรมการใช้ Application Line and Facebook
  3. การวิเคราะห์ข้อมูล การสังเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผลข้อมูล
  4. การสร้าง Website เพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสารของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง

4.1 กิจกรรมที่ 1 การสำรวจพฤติกรรมการใช้สื่อมวลชนของผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง ได้รวบรวมข้อมูลจากผู้สูงอายุจำนวน 650 คนในจังหวัดลำปางเพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคสื่อ ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุนิยมบริโภคสื่อโทรทัศน์, วิทยุกระจายเสียง และสื่อบุคคล เช่น ญาติ เพื่อน เพื่อนบ้าน และสมาชิกในกลุ่ม แต่การเปิดรับสื่อออนไลน์ เช่น อินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค หรือ ทวิตเตอร์ อยู่ในระดับต่ำ อุปสรรคในการบริโภคสื่อออนไลน์ ได้แก่ การขาดประสบการณ์ในการใช้เทคโนโลยี, ทรัพยากรไม่เอื้อต่อการบริโภค และกลัวเทคโนโลยี ประโยชน์ของการบริโภคสื่อออนไลน์ได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง แสดงตัวเองมีค่า มีเพื่อนมากมายสนุกกับการใช้งานและมีกิจกรรมสำคัญๆ ในชีวิตที่ต้องมีการเผยแพร่ให้กับคนอื่นๆ แม้ว่าผู้สูงอายุมีความกลัวเกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่ก็มีความพยายามที่จะใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เช่น การใช้สมาร์ทโฟนเพื่อสื่อสารระหว่างครอบครัวและเพื่อนของพวกเขา

4.2 กิจกรรมที่ 2 การฝึกอบรม Application Line และ Facebook มีการเชิญผู้สูงอายุจำนวน 120 คนในจังหวัดลำปางที่มีสมาร์ทโฟน เข้าร่วมโครงการฝึกอบรม Application Line และ Facebook เพื่อการสื่อสาร เนื่องจากเป็น Application ที่รู้จักและเป็นที่นิยมของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจะพัฒนาทักษะในการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อสื่อสารออนไลน์มากขึ้น ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ พบว่า

ผู้สูงอายุพอใจกับการฝึกอบรม, ผู้สูงอายุยังตั้งใจที่จะซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ที่มีตัวเลือกเพิ่มขึ้น,

กลุ่มผู้สูงอายุเข้าร่วมกลุ่ม Line “Active aging Lampang” และกลุ่ม Facebook “Active aging Lampang” และพวกเขายังจะเชิญเพื่อนๆ และคนรู้จักให้เข้าร่วมกลุ่ม Facebook และ Line อีกด้วย, ผู้สูงอายุใช้ Application Line และ Facebook เพราะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง ทำให้ตัวเองมีค่าและมีเพื่อนมากมาย และผู้สูงอายุนิยมโพสต์ภาพในรูปแบบต่างๆและโพสต์คลิปวิดีโอด้วย

4.3 กิจกรรมที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การสังเคราะห์และสรุปข้อมูล พบว่ากลุ่มผู้สูงอายุใช้งานกลุ่ม Line มากกว่ากลุ่ม Facebook เนื่องจากใช้งานง่าย คุ้นเคย และสามารถโต้ตอบได้ทันที ผู้สูงอายุต้องการดูรูปภาพและวิดีโอคลิปพร้อมเสียงและวิดีโอและการเคลื่อนไหว, เนื้อหาที่เป็นที่นิยมคือ: การแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่รัฐให้แก่ผู้สูงอายุ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ค่าชดเชยการเจ็บป่วย, นัดหมายเหตุการณ์, ดูแลสุขภาพและการออกกำลังกาย, ผู้สูงอายุบางคนใช้กลุ่ม Line เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจ เพื่อขยายกลุ่มผู้ซื้อไปในกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ส่งผลให้การตลาดออนไลน์มีรายได้เพิ่ม กลุ่ม Line ยังช่วยให้มีเพื่อนใหม่ ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกทันสมัย และเป็นเรื่องง่ายที่จะทำงานเป็นอาสาให้กับสังคม

4.4 กิจกรรมที่ 4 คือการสร้างเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารสำหรับผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง เป็นแหล่งข้อมูลความรู้ นวัตกรรมกิจกรรม และความเชื่อมโยงกับผู้สูงอายุจังหวัดลำปางและจังหวัดอื่นๆ รวมถึงประโยชน์ของผู้สูงอายุที่สามารถเข้าถึงได้ เช่น โรงพยาบาลศูนย์ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบล และหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยสามารถเข้าถึงได้ที่ http://it.nation.ac.th/activeaginglp/  เนื้อหาที่ได้รับความนิยม ได้แก่ สุขภาพ, การท่องเที่ยว, ศิลปะและวัฒนธรรม, กิจกรรมทางสังคม, เทคโนโลยีเพื่อผู้สูงอายุ, สิทธิและสวัสดิการ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต

หลังจากที่โปรแกรมการฝึกอบรม Application Line และ Facebook เกิดผลดังต่อไปนี้

  1. การเชื่อมโยงผู้สูงอายุในเขตอำเภอและจังหวัดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้สูงอายุสามารถสื่อสารกันได้ มีส่วนร่วมในชีวิตครอบครัวและชุมชน กระตุ้นให้ผู้สูงอายุตื่นตัว มีกิจกรรมและสนุกสนาน
  2. ผู้สูงอายุใช้สมาร์ทโฟนใช้เพื่อสื่อสารกันมากขึ้น ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลและความบันเทิง อ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์และนิตยสารออนไลน์ ฟังวิทยุออนไลน์และดูภาพยนตร์ออนไลน์ ผู้สูงอายุยังมีส่วนร่วมในการสื่อสารออนไลน์มากขึ้น

แม้ว่าโครงการฝึกอบรม Application Line และ Facebook จะเป็นแบบจำลองขนาดเล็ก มีสมาชิกไม่กี่คนในกลุ่ม Line และกลุ่ม Facebook แต่กำลังขยายไปสู่ชมรมของผู้สูงอายุอื่นๆ รวมถึงปรับเนื้อหาของการฝึกอบรมไปยังหัวข้อสื่ออื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชนต่อไป

01 03 04

อดิศักดิ์ จำปาทอง/19 มีนาคม 2561

โพสท์ใน คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ปิดความเห็น บน Keynote Address: The use of online media by the elderly in Lampang

แนวทางการจัดการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์อย่างสร้างสรรค์ จังหวัดลำปาง

อ.นิฤมล หิรัญวิจัตรภรณ์ Nirumol Hiranwijitporn

อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น

 

แนวทางการจัดการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์อย่างสร้างสรรค์ จังหวัดลำปาง

Guidelines for Creative Experiential Tourism Management in Lampang Province

นำเสนอในการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น

Abstract:

Tourism in Thailand has been expanded rapidly and is now a major contributor to Thailand economic by distributing more income to communities in rural areas, improving the standard of living and enhancing the effectiveness of resource utilization. Lampang has been selected to join the campaign “12 Cities You Can’t Say No” by the Tourism Authority of Thailand. The province focuses to promote creative tourism, community participation, and local product. Pa Mieng Community which is one of the tourist destinations in Lampang intends to provide tourists with genuine experience to engage with actual lifestyle of people in the community. The community, however, has not yet become a popular destination for tourists.  This research aimed to study and provide the guidelines for the management of creative experiential tourism of Pa Mieng Community. The research utilized qualitative method to collect research data. In-depth interview, document analysis and observation were adopted as tools for data collection.

The results revealed that Pa Mieng Community has already set up the managing committee consisted of people in the community.  There were 400-450 tourists per year in which generated average income of 180,000 -202,500 bath for the community.  Most of the tourists came to visit the community during cold season in the beginning of the year to explore the beautiful scenery of natural attractions, sea of mist and the beautifulness of Orchid Tree flowers. The tourists also enjoyed observing the harvesting of coffee beans and Camelia leaves as well as experiencing the life style of people in the community. The study suggested that the community should create a complete tour program to high-light the outstanding tourist attractions, develop a consistent PR strategy and promote the understanding and participation of people in the community.

Keyword: Management , Experiential Tourism , Creative Tourism

 

บทคัดย่อ:

ในปัจจุบันการท่องเที่ยวมีการขยายตัวสูงมากขึ้น ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก  การกระจายรายได้สู่ชุมชนในชนบท   ยกมาตรฐานการครองชีพของชุมชน และช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิตทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางจังหวัดลำปางเป็น 1 ใน 12 จังหวัด ภายใต้โครงการ 12 เมืองต้องห้ามพลาด …พลัส ที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วมในชุมชน สินค้าพื้นเมือง ซึ่งชุมชนบ้านป่าเหมี้ยงนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เน้นให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์จริงและสัมผัสวิถีชีวิตของคนในชุมชน แต่ยังไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากนัก ในงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ อย่างสร้างสรรค์ ของชุมชนบ้านป่าเหมี้ยงและเพื่อเสนอแนวทางในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวภายในชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง โดยใช้วิธีการดำเนินวิจัยเป็นแบบวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์เอกสารรวมถึงการสังเกต

ผลงานวิจัยพบว่า การบริหารจัดการการท่องเที่ยวภายในชุมชนป่าเหมี้ยงนั้น มีการจัดตั้งคณะกรรมการในการดูแลโดยคนภายในชุมชน ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 400-450 คนต่อปี ทำให้มีรายได้เข้าชุมชนเฉลี่ย 180,000 – 202,500 บาทต่อปี โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาชมความสวยงามของแหล่งทางธรรมชาติทะเลหมอกและอากาศที่หนาวเย็นในช่วงต้นปีรวมทั้งความสวยงามของดอกไม้คือดอกเสี้ยวการเก็บเมล็ดกาแฟการเก็บใบเหมี้ยง รวมไปถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนโดยแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดการแหล่งท่องเที่ยวภายในชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง คือ ควรจะมีโปรแกรมการท่องเที่ยวที่ชัดเจน จุดเด่นในการท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์ที่ไปในทิศทางเดียวกันและสม่ำเสมอการทำความเข้าใจของคนในชุมชน

คำสำคัญ: การบริหารจัดการ การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

 

นิฤมล หิรัญวิจัตรภรณ์/19 มีนาคม 2561

 

 

โพสท์ใน คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ปิดความเห็น บน แนวทางการจัดการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์อย่างสร้างสรรค์ จังหวัดลำปาง

Workshop : Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology

Workshop : Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology

การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เรื่อง Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology ระหว่างนักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่น ร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ เมืองฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมการแสดงออก การเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจเกี่ยวกับประเด็นปัญหา/ผลกระทบและแนวทางการพัฒนาประเทศทั้ง 2 ประเทศ มีการดำเนินการตามกระบวนการ ดังนี้

 

1. นักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่นที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ได้แก่

1.1 นายณัฐกฤษณ์ เนตรทิพย์ ชั้นปีที่ 2 คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (ลำปาง)

1.2 นายวัชราวุธฒ์ มณฑา ชั้นปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์ (ลำปาง)

1.3 นางสาวจีรนันท์ แซ่เฮ้อ ชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ลำปาง)

1.4 นางสาวนภัสสร บุญเดช ชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ (บางนา)

 

2. เข้ารับฟังการบรรยายพิเศษ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้

2.1 SHINKANSEN: History & Design by Dr.Takeshi Ikeda

2.2 Use of satellite data by Dr.Tomoyuki Nakajo

2.3 Business initiatives for Hokuriku Shinkansen extension to Tsuruga JR West Fukui Branch by Kouichi Kakui, General Manager of JR West Fukui Branch

 

3. มีการศึกษาดูงาน จำนวน 7 แห่ง ดังนี้

3.1 FUT campus tour, Fukui city

3.2 FUT Awara campus

3.3 Industrial Technology Center of Fukui Prefecture

3.4 Construction site for SHINKANSEN

3.5 Seiren Planet, Museum of astronomy

3.6 การพัฒนาผังเมืองและการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคม

3.7 Science Museum in Tokyo

 

4. มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ภายใต้หัวข้อ การฟื้นฟูเมืองลำปางและเมืองฟุคุอิโดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำ Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology

4.1 นักศึกษาจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทีมๆละ 7-8 คน คละสถาบัน ได้แก่

4.1.1 Lampang team : แนวทางการพื้นฟู Lampang city

4.1.2 Fukui team : แนวทางการพื้นฟู Fukui city

4.2 นักศึกษาทำการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของ Lampang city and Fukui city ข้อมูลจากการบรรยายพิเศษ และข้อมูลจากการศึกษาดูงาน แล้วสังเคราะห์ข้อมูลและคิดสร้างสรรค์แนวทางพื้นฟูเมืองทั้งสอง ซึ่งผลงานของนักศึกษา ได้แก่

4.2.1 Lampang team : แนวทางการพื้นฟู Lampang city ชื่อผลงาน King of satellite pineapple

4.2.2 Fukui team : แนวทางการพื้นฟู Fukui city ชื่อผลงาน Hokuriku Shinkansen love Story

4.3 นักศึกษาทั้งสองสถาบันร่วมกันนำเสนอผลงานสร้างสรรค์ จำนวน 2 ผลงาน ในการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561

 

ประโยชน์ที่ได้รับจากการประชุมวิชาการ

1. นักศึกษาได้เรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในต่างแดน ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม เพื่อปรับทัศนคติและแนวคิดในการทำงานของตนในอนาคต เช่น กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงความคิดเห็น การมีวินัยและความรับผิดชอบในการทำงาน การมีความสุภาพและมารยาทในการอยู่ร่วมกันในสังคม การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฯลฯ

2. การทำงานร่วมกันของนักศึกษาและอาจารย์ ได้ส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองสถาบันมีความสนิทสนมและแน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้น ทำให้การดำเนินงานกิจกรรมทางวิชาการมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

 

11 12 14 15 16 17 18 6 7 9

อดิศักดิ์ จำปาทอง/18 มีนาคม 2561

โพสท์ใน การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ, คณะนิเทศศาสตร์ | ปิดความเห็น บน Workshop : Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology

NTU-FUT 4th Joint Symposium 2017

อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง รายงาน

การประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ เมืองฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น

NTU-FUT 4th Joint Symposium 2017

February 13-19, 2018 Fukui University of Technology, Japan

มหาวิทยาลัยเนชั่น ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ตระหนักถึงพันธกิจสำคัญของความเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาติกับบทบาทการผลิตบัณฑิตคุณภาพอันพึงประสงค์ การสร้างผลงานวิจัยที่เกิดจากความรู้ ความสามารถของนักศึกษา คณาอาจารย์  ด้วยการนำองค์ความรู้ถ่ายทอดการปฏิบัติสู่สังคมและชุมชนในลักษณะการบริการวิชาการ การทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาอุดมศึกษาไทยให้มีผลสัมฤทธิ์ผลในการพัฒนาของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป จึงได้มีข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวได้ครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ อาทิ การส่งเสริมงานวิจัยร่วมกัน การแลกเปลี่ยนอาจารย์ด้านการสอนและการวิจัย การแลกเปลี่ยนนักศึกษาทั้งในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา การจัดการสัมมนาในหัวข้อที่เป็นที่สนใจของสังคม การจัดกิจกรรมกีฬาและการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม เป็นต้น โดยทั้งสองสถาบันได้ร่วมมือกันจัดกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 เป็นต้นมา และในปีการศึกษา 2560 นี้ ทั้งสองสถาบันจึงได้ร่วมกันจัดการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2560 (NTU-FUT 4th Joint Symposium 2017) ขึ้นระหว่างวันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ เมืองฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ความร่วมมือของทั้งสองสถาบันเกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป

วัตถุประสงค์

1. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแพร่องค์ความรู้จากผลงานวิจัย งานวิชาการ และงานสร้างสรรค์ของอาจารย์และนักศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ

2. เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมการแสดงออก การเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ศิษย์เก่า นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจเกี่ยวกับประเด็นปัญหา/ผลกระทบและแนวทางการพัฒนาประเทศ

ผลการดำเนินงาน

การดำเนินงานโครงการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 กิจกรรม ประกอบด้วย 1) การบรรยายพิเศษ (Keynote Address) 2) การนำเสนอผลงานทางวิชาการ (Presentation) และ 3) การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ผลการดำเนินงานดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. การบรรยายพิเศษ (Keynote Address) เรื่อง The use of online media by the elderly in Lampang โดย อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง, NTU

2. การนำเสนอผลงานทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่

2.1 Chlorophylls: a double-edged sword for life on earth by Dr.Yuichiro Kashiyama, FUT

2.2 History of bridges – ancient time, middle age and future by Dr.Kazuhiro Tanawaki, FUT

2.3 Comparison of Lampang ceramic and Echizen ceramic: The movement from the past to future by Miss Pornpan Sudasna, FUT

2.4 Development of innovative home-visit services at Sri moard klaw Health Promotion Hospital, Lampang โดย อ.นิภรดา ยาวิราช พงศ์กรพิทยา, NTU

2.5 Guildeline for creative experiential tourlism management in Lampang province โดย อ.นิฤมล หิรัญวิจิตรภรณ์, NTU

3. การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เรื่อง Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology ระหว่างนักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่น ร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น มีการดำเนินการดังนี้

3.1 นักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่นที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ได้แก่

3.1.1 นายณัฐกฤษณ์ เนตรทิพย์ ชั้นปีที่ 2 คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (ลำปาง)

3.1.2 นายวัชราวุธฒ์ มณฑา ชั้นปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์ (ลำปาง)

3.1.3 นางสาวจีรนันท์ แซ่เฮ้อ ชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ลำปาง)

3.1.4 นางสาวนภัสสร บุญเดช ชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ (บางนา)

3.2 รับฟังการบรรยายพิเศษ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้

3.2.1 SHINKANSEN: History & Design by Dr.Takeshi Ikeda

3.2.2 Use of satellite data by Dr.Tomoyuki Nakajo

3.2.3 Business initiatives for Hokuriku Shinkansen extension to Tsuruga JR West Fukui Branch by Kouichi Kakui, General Manager of JR West Fukui Branch

3.3 ศึกษาดูงาน จำนวน 7 แห่ง ดังนี้

3.3.1 FUT campus tour, Fukui city

3.3.2 FUT Awara campus

3.3.3 Industrial Technology Center of Fukui Prefecture

3.3.4 Construction site for SHINKANSEN

3.3.5 Seiren Planet, Museum of astronomy

3.3.6 การพัฒนาผังเมืองและการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคม

3.3.7 Science Museum in Tokyo

3.4 การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ภายใต้หัวข้อ การฟื้นฟูเมืองลำปางและเมืองฟุคุอิโดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำ Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology

3.4.1 นักศึกษาจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทีมๆละ 7-8 คน คละสถาบัน ได้แก่

3.4.1.1 Lampang team : แนวทางการพื้นฟู Lampang city

3.4.1.2 Fukui team : แนวทางการพื้นฟู Fukui city

3.4.2 นักศึกษาทำการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของ Lampang city and Fukui city ข้อมูลจากการบรรยายพิเศษ และข้อมูลจากการศึกษาดูงาน แล้วสังเคราะห์ข้อมูลและคิดสร้างสรรค์แนวทางพื้นฟูเมืองทั้งสอง ซึ่งผลงานของนักศึกษา ได้แก่

3.4.2.1 Lampang team : แนวทางการพื้นฟู Lampang city ชื่อผลงาน King of satellite pineapple

3.4.2.2 Fukui team : แนวทางการพื้นฟู Fukui city ชื่อผลงาน Hokuriku Shinkansen love Story

3.4.3 นักศึกษาทั้งสองสถาบันร่วมกันนำเสนอผลงานสร้างสรรค์ จำนวน 2 ผลงาน ในการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561

ประโยชน์ที่ได้รับจากการประชุมวิชาการ

1. นักศึกษาได้เรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในต่างแดน ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม เพื่อปรับทัศนคติและแนวคิดในการทำงานของตนในอนาคต เช่น กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงความคิดเห็น การมีวินัยและความรับผิดชอบในการทำงาน การมีความสุภาพและมารยาทในการอยู่ร่วมกันในสังคม การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฯลฯ

2. อาจารย์ได้เรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ในการผลิตผลงานทางวิชาการ และการนำเสนอผลงาน อันจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองในสายวิชาการต่อไป

3. การทำงานร่วมกันของนักศึกษาและอาจารย์ ได้ส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองสถาบันมีความสนิทสนมและแน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้น ทำให้การดำเนินงานกิจกรรมทางวิชาการมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

 

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18

อดิศักดิ์ จำปาทอง/19 มีนาคม 2561

โพสท์ใน คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ปิดความเห็น บน NTU-FUT 4th Joint Symposium 2017

ประสบการณ์ในการขอตำแหน่ง “ผู้ช่วยศาสตราจารย์”

ผศ.บดินทร์ เดชาบูรณานนท์

อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น

 

ตำแหน่งทางวิชาการ หมายความถึง วิทยฐานะที่ทรงเกียรติของอาจารย์ในระดับอุดมศึกษา ซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์พิเศษ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน (https://www.rsu.ac.th, 2559)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (assistant Professor) ใช้อักษรย่อว่า “ผศ.” เป็นตำแหน่งทางวิชาการ ต่อมาจากตำแหน่ง อาจารย์ ก่อนจะเป็น รองศาสตราจารย์ โดยต้องมีชั่วโมงสอน มีผลงานเอกสารประกอบการสอนอย่างน้อย 1 รายวิชา คุณภาพดี และผลงานวิจัย คุณภาพดี หรือ ผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่น ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์แสดงถึงมีความรู้ ความสามารถ และมีผลงานทางวิชาการ ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีหน้าที่หลักในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาชั้นสูง คือ มีชั่วโมงสอนประจำวิชาใดวิชาหนึ่งที่กำหนดไว้ในหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาและมีความชำนาญในการสอน และเสนอเอกสารประกอบการสอนที่ผลิตขึ้นสำหรับการสอนทั้งรายวิชาไม่น้อยกว่า 1 รายวิชา ซึ่งมีคุณภาพดี และได้ใช้ประกอบการสอนมาแล้ว โดยผ่านการประเมินจากคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการในข้อบังคับของสภาสถาบัน (https://th.wikipedia.org, 2559)

ผู้เขียนได้ยื่นเรื่องเพื่อเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการ ระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ในสาขาวิชานิเทศศาสตร์ โดยวิธีปกติ สิ่งสำคัญอันดับแรก คือการตรวจสอบความพร้อมของตนเอง ทางด้านคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง รวมทั้งเอกสารและผลงานทางวิชาการ ซึ่งสามารถสรุปจากประสบการณ์เฉพาะของผู้เขียนในการขอตำแหน่งได้ ดังนี้

1. คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง

คุณวุฒิ และระยะเวลาการเป็นอาจารย์ คุณวุฒิปริญญาโท ซึ่งต้องมีระยะเวลาการเป็นอาจารย์ไม่น้อยกว่า

5 ปี (สำหรับคุณวุฒิอื่นๆ จะแตกต่างในเรื่องของระยะเวลาการเป็นอาจารย์)

2. การสอน

2.1 การสอน  เป็นการเลือกรายวิชาที่จะขอตำแหน่งมา 1 รายวิชา ที่มีความชำนาญในการสอน และมีเอกสารประการ

สอนคุณภาพดีที่ผ่านการใช้สอนมาแล้วอย่างน้อย 1 ภาคการศึกษา ในเอกสารประกอบการสอนไม่ได้จำกัดว่าต้องมีกี่บท ซึ่งในแต่ละบทจะต้องประกอบด้วย หัวข้อเรื่อง, วัตถุประสงค์การเรียนรู้, เนื้อหา, คำถามและกิจกรรมท้ายบท โดยเอกสารประกอบการสอนนั้น จะผ่านการประเมินจากคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งวิชาการภายในมหาวิทยาลัย

2.2 การสอบสอน ผู้เขียนขอให้คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งวิชาการเข้ามาสอบสอน ในรายวิชาที่ต้องการจะขอตำแหน่ง โดยทำเรื่องขอรับประเมินผลการสอนเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ เอกสารที่ต้องให้กับทางคณะกรรมการ ได้แก่ เอกสารประกอบการสอน, สื่อการสอน, แผนการสอน (มคอ.3) และแบบสรุปผลการประเมินการเรียนการสอนโดยนักศึกษา (ย้อนหลังประมาณ 3 เทอม) สำหรับในรายวิชาดังกล่าว  กล่าวในการสอบสอนต้องมีการเตรียมตัว การเตรียมเนื้อหา การให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วม กิจกรรมในชั้นเรียน และการบริหารจัดการเวลาให้มีความเหมาะสม ซึ่งการเรียนการสอน หัวข้อที่สอนจะต้องตรงกับแผนการสอน (มคอ.3) เมื่อคณะกรรมการเข้าประเมินการสอนในชั้นเรียนมีมติให้สอนผ่าน จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนของการพิจารณาผลงานวิจัยโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมหาวิทยาลัย หากผลการสอนไม่ผ่านจะไม่ได้ไปสู่ขั้นตอนต่อไป  ดังนั้นการสอบสอนจึงเป็นสิ่งสำคัญ และคณะกรรมการจะอยู่ในชั้นเรียนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบชั่วโมง

3. ผลงานทางวิชาการ

3.1 งานวิจัย

ตามเกณฑ์ในการขอตำแหน่งจะต้องเป็นผลงานวิจัยคุณภาพดี ที่แสดงความชำนาญหรือเชี่ยวชาญในสาขาวิชา  และได้ตีพิมพ์เผยแพร่เป็นบทความวิจัยในวารสารวิชาการ (วารสารที่ลงต้องมีรายชื่อปรากฏในฐานข้อมูล TCI) ผู้เขียนเสนองานวิจัยเชิงคุณภาพที่เป็นหัวหน้าโครงการ โดยงานวิจัยจะถูกส่งให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (Readers) ภายนอก ประมาณ 3-5 ท่าน พิจารณาผลงาน การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิและผลการประเมินเป็นความลับทุกกรณี และจะใช้เวลาหลายเดือน  เพราะต้องรอผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่านตรวจอ่านและประเมิน ข้อแนะนำสำหรับขั้นตอนนี้ควรเป็นผลงานวิจัยที่ทำคนเดียว 100% เมื่อส่งงานวิจัยไปแล้ว ผู้วิจัยจะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขหรือเพิ่มเติมได้อีก

คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งวิชาการของมหาวิทยาลัย จะพิจารณาผลการประเมิน โดยสภามหาวิทยาลัยพิจารณาให้ความเห็นชอบ อธิการบดีจะเป็นผู้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง ทั้งนี้ผู้เขียนได้ยื่นเรื่องเพื่อเสนอขอตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 และได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558

#บดินทร์เดชาบูรณานนท์ #มหาวิทยาลัยเนชั่น #ผู้ช่วยศาสตราจารย์ #การขอตำแหน่งทางวิชาการ

———————————————————–

บรรณานุกรม

ความหมายของตำแหน่งทางวิชาการ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.rsu.ac.th. ,

(วันที่ค้นข้อมูล : 28 พฤษภาคม 2559)

ความหมายของผู้ช่วยศาสตราจารย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :  https://th.wikipedia.org. ,

(วันที่ค้นข้อมูล : 28 พฤษภาคม 2559)

โพสท์ใน คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ปิดความเห็น บน ประสบการณ์ในการขอตำแหน่ง “ผู้ช่วยศาสตราจารย์”

การพัฒนานักวิจัย : การตลาดเชิงสร้างสรรค์ด้วยมิติการคิดจากมุมมองของลูกค้า

อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง

การอบรม เรื่อง การตลาดเชิงสร้างสรรค์ด้วยมิติการคิดจากมุมมองของลูกค้า จัดขึ้นโดยศูนย์นวัตกรรมล้านนา เครือข่ายบริหารการวิจัยภาคเหนือตอนบน เมื่อวันที่ 1-2 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมอิมพิเรียลแม่ปิง จังหวัดเชียงใหม่ มีเป้าหมายในการพัฒนานักวิจัยและผู้ประกอบการที่สนใจเกี่ยวกับการตลาดเชิงสร้างสรรค์ คือ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือการนำสิ่งที่มีอยู่มาวางแผนประยุกต์ใช้ให้เกิดความแตกต่าง และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งต้องเริ่มจากการคิดให้แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ (Creative Differential) แล้วนำสิ่งที่มีอยู่มาปรับใช้ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

การอบรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักวิจัยและผู้ประกอบการได้รับความรู้และเกิดแรงบันดาลใจทางความคิดสร้างสรรค์ ด้วยมุมมองและเนื้อหาทางด้านการตลาด สามารถนำความรู้มาต่อยอดใช้ในแผนกลยุทธ์ขององค์กร โดยเน้นการปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนำแนวคิดทางการสร้างสรรค์และการตลาดมาปรับใช้กับธุรกิจและงานวิจัย เพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืน

สาระสำคัญจากการอบรม

What did we know?

1. Defining ค้นหาของคำว่า Consumer insight ในแบบของแต่ละคน มองหาความเหมือนและความแตกต่างมาจากไหน? อะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น? ถูกนำไปใช้อย่างไรในตลาดปัจจุบัน

—การค้นหาของคำว่า Consumer insight จะอาศัยหลักการของการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (empathy) เเละความสงสาร (sympathy) เพราะเมื่อเราเริ่มเห็นใจหรือสงสารผู้อื่น เราจะมีความพยายามสร้างสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อื่นเสมอ

—การค้นหาของคำว่า Consumer insight จะเป็นความพยายามเข้าถึงความต้องการส่วนลึกในใจผู้บริโภค (Insight) และป้อนข้อมูลข่าวสาร (Information) ให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจ (Understand) เกี่ยวกับสินค้าและบริการ เพื่อใช้สินค้าและบริการนั้นตอบสนองความต้องการของตนเอง

—Insight ของ Consumer จะเกิดขึ้นและมีความสัมพันธ์กับค่านิยม (Value) และความเชื่อ (Belief) ของตน เพื่อค้นหาสินค้ามาตอบสนองความต้องการของตน (Want)

2. Deconstruction การมองย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของ Consumer insight ว่าตรงไหน? ข้อไหน? ส่วนไหน? ที่มีอิทธิพลต่อการตลาด ต่อการตัดสินใจ รวมทั้งการหารอยตัด จุดต่อ หาหน้าที่การใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆของสิ่งเหล่านั้น

—ผู้บริโภคจะมีมุมมอง (Mindscape) ของแต่ละคนในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆรอบตัว ตามค่านิยม (Value) และความเชื่อ (Belief) ความรู้สึก ความรู้ (Knowledge) ข้อมูล (Information) และค้นหาสินค้าและบริการนั้นตอบสนองความต้องการของตนเอง โยมีความพยายามหากฎเกณฑ์ หรือสมการ หรือความสัมพันธ์ (Relation) มาเชื่อมโยง (Connect) สิ่งต่างๆรอบตัวไว้เป็นแนวความคิด (Concept) ของตนเอง

—วิธีการเข้าถึงผู้บริโภค Consumer insight ที่นิยมทำกันในวงการตลาด คือ การวิจัย Research เช่น มักจะมีการตั้งคำถามว่า What do they want? What do they think about us or competitor? What do they prefer? Who am I to them?

—การค้นหาจุดเชื่อมโยงของสินค้าและบริการ ระหว่างแต่ละกลยุทธ์ (Strategy) ของสินค้า ค้นหาความสัมพันธ์ (Relation) ค้นหาจุดที่น่าสนใจ จุดเด่นที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ และจุดตอกย้ำความต้องการนั้น จัดเรียงลำดับเป็น Sequence

What did we do?

3. Discovery เชื่อมรอยตัด ให้ต่อกันเป็นรอยใหม่ สร้างโอกาสใหม่ๆให้กับการตลาด ให้เข้าถึงและตอบสนองความต้องการของ Insight Consumer ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสินค้าหรือบริการ

—การสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับการตลาด ด้วยการคิดนอกกรอบ Think out of the box การค้นหาเอกลักษณ์ของสินค้าและบริการ จุดน่าสนใจ เช่น สวย แปลก การหาพันธมิตรทางธุรกิจ (Partner) เพื่อความใหม่ ความแตกต่าง ความหลากหลาย และเติมเต็มในสิ่งที่เราขาด และ Support ซึ่งกันและกัน

4. Disrupt การสร้างกรอบกฎเกณฑ์ใหม่ที่ไม่ใช่ทางเดิมๆที่เคยทำมา เพื่อพัฒนาทั้งระบบความคิดของเจ้าของสินค้า นักการตลาด หน้าตาของสินค้าและบริการ เพื่อให้เกิดทางเดินใหม่ เพื่อให้ Vision เป็นรูปร่างที่แข็งแรง ยั่งยืน เหมาะสม และร่วมสมัย

 

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อประกอบความเข้าใจเรื่อง การตลาดเชิงสร้างสรรค์ ด้วยมิติการคิดจากมุมมองผู้บริโภค ดังนี้

1. บทความเรื่อง 3 ทางในการที่จะได้ Consumer Insight เขียนโดย Molex ในนิตยสารออนไลน์ marketingoops เข้าถึงได้ทาง https://www.marketingoops.com/exclusive/how-to/3-ways-to-get-consumer-insight/ สรุปได้ดังนี้

ข้อแนะนำในการหา Consumer insight ด้วย 3 วิธีง่ายๆ ได้แก่

1) เอาใจเรา ไปใส่ใจเขา : การเข้าใจว่าผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายนั้นคิดอย่างไร เพื่อที่จะหา Consumer Insight สิ่งสำคัญคือการใช้การเก็บข้อมูลแบบ consumer-centric approach จากการศึกษาพบว่าผู้บริโภคเพียงแค่ 8% รู้สึกมีประสบการณ์ที่ดีกับการซื้อของออนไลน์ทำให้เห็นว่าหลายๆ แบรนด์ยังไม่เข้าใจผู้บริโภคดีพอ จนสามารถทำให้เกิดประสบการณ์พึงพอใจในการใช้งานได้ เพื่อที่จะเข้าใจกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้ได้ การทำตัวหรือเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในมุมมองผู้บริโภคนั้นจึงสำคัญมาก วิธีการที่ใช้กันคือการทำ Empathy Map ออกมา หรือง่ายๆ คือการตอบคำถามเหล่านี้ กลุ่มลูกค้าหรือเป้าหมายคุณเป็นใคร เค้ากำลังอยากได้อะไร และกระบวนการตัดสินใจมาซื้อสินค้านั้นเกิดจากอะไร รวมทั้งหาข้อมูลที่จะเอาสินค้าเหล่านี้มาจากไหน

ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแบรนด์ส่วนใหญ่คือการไม่เข้าใจ Consumer Insight ให้ลึกพอในระดับ Consumer Journey ว่าผู้บริโภคกำลังเกิดปัญหาหรือความต้องการแบบไหน และต้องผ่านขั้นตอนแบบไหนจนมาถึงแบรนด์เรา หลายๆ แบรนด์ไม่เคยทำตัวมาเป็นลูกค้าเสียเอง และไม่เคยเจอว่า Stake Holder ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าทั้งหมดนั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นต้องแต่ Content ที่ต้องหา Call Center หน้าร้านจนถึงบริการหลังการขายนั้นเอง ดังนั้นการหา consumer insight ง่าย ๆ แบบแรก ๆ เลยคือการทำตัวเป็น Consumer เสียเองหรือให้คนรู้จักลองทำการเป็น Consumer ออกมา

2) ใช้ Data จากการเก็บข้อมูลมา : การหา Consumer Insight ง่ายๆ ในแบบต่อมาคือการทำการเก็บข้อมูลผ่านเครื่องมือต่างๆ และ Digital Asset ของตัวเองเอาไว้ ข้อมูลเหล่านี้สามารถเก็บผ่านเครื่องมือ CRM ต่างๆ และ Monitoring กับ Listening Platform ทั้งหลาย ซึ่งสามารถเอามาวิเคราะห์ทำให้เห็นภาพว่าผู้บริโภคกำลังคิดอย่างไรกับแบรนด์หรือสินค้าของเราออกมา

เมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้มาเป็นการง่ายที่จะเริ่มการวิเคราะห์ประสิทธิภาพตัวเองได้ว่าการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แล้วมาให้ประสิทธิภาพอย่างไรบ้าง และ Consumer แต่ละคนประพฤติตัวหรือมีความคิดเห็นอย่างไรในการใช้งานหรือมาเลือกใช้งานแบรนด์และสินค้าต่างๆ ออกมา การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้สามารถให้ประโยชน์ได้มากมายถ้าเจาะลึกลงไปในส่วนต่างๆ และสามารถปรับปรุงให้การตลาดของตัวเองดีขึ้นได้อย่างมาก โดยเฉพาะการสร้างการตลาดที่สามารถดึงกลุ่มเป้าหมายให้กลับมาซื้อได้เพิ่มขึ้น สร้างการบอกต่อเพิ่มขึ้นนั้นเอง

3) การถามตรงๆ : การทำ Consumer Insight แบบนี้เป็นวิธีการที่ดูโบราณ แต่ก็ยังได้ผลอยู่ทุกวันนี้ วิธีการเหล่านี้คือการเข้าไปทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายโดยตรงและใช้วิธีการถามในรูปแบบต่าง ๆ ออกมา เพื่อสกัดสิ่งที่ผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายคิดออกมาเป็น Consumer Insight นั้นเอง โดยวิธีการนั้นสามารถใช้วิธีการได้หลากหลายรูปแบบดังนี้คือ

การสัมภาษณ์ผู้บริโภคโดยตรง คือการเข้าถามสัมภาษณ์ผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมายออกมาว่า กำลังคิดอะไร กำลังมีปัญหาอะไร อยากได้อะไร และต้องการให้แบรนด์หรือสินค้าแก้ปัญหาอย่างไรออกมา คำถามเหล่านี้จะทำให้รู้ด้วยว่า กลุ่มเป้าหมายเลือกแบรนด์จากตรงไหน และเจอแบรนด์ที่ไหน ตัดสินใจจากอะไรด้วย ทำให้สามารถได้คำตอบที่ถูกต้องมาก อีกทางคือการทำ Focused Group นั้นคือการหากลุ่มต่าง ๆ ที่ติดว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายมาตั้งคำถามหรือทำการสร้าง Situatiuon ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อเข้าใจความคิดของกลุ่ม Focused Group เหล่านี้ออกมา สิ่งที่จะได้จากการทำนี้คือการได้คำตอบหรือแนวคิดที่จะสามารถเอาไปสร้างการสื่อสารทางการตลาดได้เลย

ทั้งนี้การทำ Consumer Insight นั้นคือส่วนสำคัญอย่างมากในการตลาด เพราะสามารถทำให้เกิดความเข้าใจผู้บริโภค จนวางกลยุทธ์ทางการสื่อสารได้ถูกต้อง และทำให้ลงมือได้ถูกต้องจนทำการตลาดของตัวเองนั้นได้ผลขึ้นมา

2) บทความเรื่อง ลึกสุดใจ…Consumer Insight แบบไหนถึงจะโดน ทางนิตยสารออนไลน์ positioningmag เข้าถึงได้ทาง https://positioningmag.com/13450 สรุปได้ดังนี้

—จิตพนิศา อุดมศิลป์ Managing Partner บริษัท Circle จำกัด บอกว่า ในการทำวิจัยแต่ละครั้ง ผลการศึกษาที่ได้รับมาจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ด้วยกัน คือ Information, Understand และ Insight

ข้อมูลที่เป็น Information มักตอบแค่พื้นฐานความต้องการของผู้บริโภคว่า พวกเขาต้องการอะไร หรือกำลังมองหาอะไรอยู่ ขณะที่ข้อมูลที่จัดอยู่ใน Understand มักเกี่ยวข้องในการหาเหตุผลว่าทำไมพฤติกรรมผู้บริโภคถึงแสดงออกมาในลักษณะนี้

แต่ข้อมูลประเภท Insight ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จะต้องตอบคำถามที่ว่า ทำไมสิ่งใดสิ่งหนึ่งถึงมีความสำคัญกับผู้บริโภค และส่งผลต่อ Value, Belief และ Self-esteem ของพวกเขาอย่างไร และที่สำคัญ Consumer Insight ที่นำมาพัฒนามาเป็นแคมเปญ ต้องตอบ “Want” ของผู้บริโภค ไม่ใช่ “Need”

ถึงแม้ว่า Need จะเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่มีแล้วอาจใช้ชีวิตได้ลำบาก แต่ช่องว่างในการพัฒนาสินค้าเพื่อเติมเต็ม Need ซึ่งตอบจุดประสงค์แบบตรงไปตรงมาไม่มีเหลืออีกต่อไป เพราะฉะนั้น สินค้าทุกวันนี้จึงต้องพัฒนาขึ้นอยู่บนพื้นฐานเพื่อเติมเต็มความต้องการที่ซับซ้อนขึ้นของผู้บริโภค

ตัวอย่างเช่น ผงซักฟอก ซึ่ง Function หลักของสินค้านี้ คือ ทำความสะอาดผ้าที่ใส่แล้วให้สะอาด ไม่มีคราบสกปรกติดอยู่ ซึ่งหากแบรนด์สินค้าต่างๆ มุ่งแต่ตอบจุดประสงค์นี้เพียงอย่างเดียว ก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างแบรนด์เกิดขึ้น ดังนั้น แบรนด์จึงต้องหา Consumer Insight ที่ตอบ Want ของผู้บริโภคที่ต้องการอะไรเพิ่มเติมมากกว่า Function หลักของสินค้า

ที่ผ่านมา จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่า หลังจากนำผ้าออกมาจากเครื่องซักผ้า หรือซักน้ำสุดท้ายเสร็จแล้วพร้อมตาก ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ แทนการตรวจคราบสกปรกด้วยสายตา พวกเขาจะหยิบผ้าขึ้นมาดม ซึ่งถ้าผ้ามีกลิ่นหอมย่อมหมายถึงความสะอาด ส่งผลให้แบรนด์หยิบ Consumer Insight ที่สำคัญนี้มาพัฒนาสินค้า โดยเพิ่มน้ำหอมลงไป และให้กลิ่นติดทนนานที่แม้กระทั่งแดดก็ไม่สามารถทำลายความหอมได้

สำหรับกรณีศึกษาต่างประเทศ Victoria’s Secret คือ แบรนด์ที่ตอบความต้องการแบบ Want ได้ดีที่สุด ชุดชั้นในคือสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกคน ดังนั้น ไม่ว่ายังไงก็ตามพวกเธอต้องซื้อสินค้านี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ Victoria’s Secret ทำ คือ เพิ่ม Want เข้าไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายบ่อยครั้งขึ้น ออกชุดชั้นในคอลเลกชั่นใหม่ ที่ตอบความต้องการของผู้หญิงโดยอิงช่วงอารมณ์เป็นหลัก

—อัศวิน โรจเมธทวี Marketing Activation Manager ของ บริษัท Thai Asia Pacific Brewery จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มไฮเนเก้น ก็ได้นำเคสของแบรนด์ไฮเนเก้นในการหา Insight ที่ใช่มาร่วมแบ่งปันข้อมูลเช่นกัน

ก่อนอื่นเขาได้อธิบายถึงนิยามของ Consumer Insight ซึ่งคนส่วนใหญ่มักคิดว่า Consumer Insight เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย

แต่อันที่จริงแล้ว Consumer Insight คือ ความรู้หนึ่งเดียวที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย และส่งผลเฉพาะเจาะจงเมื่อนำมาพัฒนาและปรับใช้กับพวกเขา เปรียบได้กับกุญแจที่ปลดล็อกผู้บริโภค ซึ่งข้อมูลที่จะเรียกว่า Consumer Insight ได้ต้องลึกถึงพฤติกรรมผู้บริโภคว่าพวกเขาทำอะไร ทำไมถึงทำ มีการใช้ชีวิตอย่างไร และเจาะเข้าไปถึงแก่นก้นบึ้งของจิตใจผู้บริโภคเป้าหมายให้ได้

การสื่อสารแรกที่พัฒนาจาก Consumer Insight เป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องสร้างสรรค์ออกมาให้คม เพราะแบรนด์จำเป็นต้องได้ Attention Getting ไม่ใช่แค่ Awareness เนื่องจากปัจจุบัน แทบไม่สามารถแยกและหาความแตกต่างของสินค้าระหว่างแบรนด์ได้

ดังนั้น Unique Insight จะช่วยให้แบรนด์สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้มาก

อัศวินได้ยกกรณีตัวอย่างของไฮเนเก้น ที่กลายเป็น Classic Case Study ที่ต้องหยิบยกมาเป็นตัวอย่างเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับ Consumer Insight

ในฐานะสปอนเซอร์หลักของการแข่งขันฟุตบอล UEFA Champion League ไฮเนเก้นได้พยายามคิดกิจกรรมรูปแบบใหม่เพื่อสร้างความตื่นเต้นและประทับใจให้กับบรรดาคอฟุตบอล

ในปีนั้นรอบชิงชนะเลิศเป็นการแข่งขันระหว่างสองทีมที่มีแฟนติดตามเป็นจำนวนมาก Real Madrid และ AC Milan ซึ่งก่อนหน้านั้นไฮเนเก้นได้ทำการวิจัยผู้บริโภคแล้วพบ Consumer Insight ที่ล้ำลึกกว่าแค่ผู้ชมเป็นเพศชายอายุ 22–35 ปี ดื่มเบียร์ระหว่างชมฟุตบอล ชอบสังคม และฟุตบอลคือชีวิตของพวกเขา อัศวินบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ Consumer Insight เป็นเพียงแค่ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น

แต่ Consumer Insight ของการวิจัยครั้งนี้ที่ทางไฮเนเก้นค้นพบ คือ “ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่าที่ได้ใช้ช่วงเวลากับการแข่งขันฟุตบอล UEFA Champion League”

ไฮเนเก้น ที่ประเทศอิตาลี จึงได้จัดอีเวนต์ปลอมขึ้นมา ซึ่งเป็นการแสดงเกี่ยวกับดนตรีคลาสสิกและบทกวีในเวลาเดียวกับที่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระหว่าง Real Madrid กับ AC Milan

แฟนฟุตบอล AC Milan ประมาณพันคนยอมเสียสละไม่ติดตามการแข่งขันนี้ที่ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ หลังจากถูกชักชวนให้มาร่วมงานที่ทางไฮเนเก้นได้เตรียมขึ้นจากบรรดาแฟนสาวที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดจำนวน 100คน อาจารย์อีก 50 คน รวมทั้งนักข่าวจำนวนมากก็โดนบังคับจากเจ้านายที่รู้กันกับไฮเนเก้นให้มาร่วมงานนี้ ซึ่งกิจกรรมถูกถ่ายทอดสดผ่านทาง Sky Sport โดยมีบทสัมภาษณ์จากทางเซเล็บชื่อดังในแวดวงกีฬา

หลังจากคอนเสิร์ตเริ่มต้นไปได้ประมาณ 15 นาที บรรดาแฟนฟุตบอลที่ต่างติดอยู่ในงานนี้ออกอาการกระสับกระส่าย และคิดถึงการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญที่พวกเขากำลังจะพลาด และตอนนั้นเอง นักดนตรีเปลี่ยนจากดนตรีคลาสสิก เป็นเพลงธีมของ UEFA Champion League พร้อมกับภาพถ่ายทอดสดจากสนามปรากฏบนจอขนาดใหญ่กลางเวที

ผลที่ได้จากกิจกรรมนี้ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมแบบไม่ตั้งใจเพียงแค่ 1136 คน แต่มีผู้ชมกว่า 1.5 ล้านคนรับชมกิจกรรมนี้ผ่านทาง Sky Sport 10 ล้านคนเห็นจากข่าวในวันรุ่งขึ้น มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรับชมคลิปกิจกรรมนี้มากถึง 5ล้านหลังจากกิจกรรมผ่านไปสองสัปดาห์ และยังมีแฟนอีกจำนวนมากที่ชื่นชมกิจกรรมนี้ผ่านทางบล็อก และ Social Network

กิจกรรมนี้ของไฮเนเก้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า Consumer Insight ที่ใช่มีพลัง และอิทธิพลมากมายต่อผู้บริโภคมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะหาเจอหรือเปล่า

ตัวอย่างสินค้าที่พัฒนาจาก Insight
Insight Product Innovation
ตื่นมาหัวฟู Long Hair Straight Variant
ดมผ้าก่อนตาก Detergent with fabric softener Perfume
แพทย์ผิวหนังทำให้มั่นใจ Dermatologist Clinic & Product

อะไรเรียกว่า Consumer Insight

—In-dept ต้องลงลึกถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค

—Original เจาะเข้าไปถึงแก่นก้นบึ้งของจิตใจ

—Consumer Insight ต้องตอบ Want ของผู้บริโภค ไม่ใช่ Need

—พฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของผู้บริโภค

IMG_090320180301_131329Untitled-2

อดิศักดิ์ จำปาทอง/17 มีนาคม 2561

โพสท์ใน การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ, คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ปิดความเห็น บน การพัฒนานักวิจัย : การตลาดเชิงสร้างสรรค์ด้วยมิติการคิดจากมุมมองของลูกค้า

งาน freshy night 2560

อัลบั้ม Freshy night 2560 ณ มหาวิทยาลัยเนชั่น
ในชื่องาน NTU 60’s Millennium freshy night
ในวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 เวลา 16.00-24.00น.
ณ บริเวณโถงเสานัก และห้องประชุมใหญ่
อาคารคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเนชั่น

กำหนดการ freshy night

กำหนดการ freshy night

มีแฟนเพจที่
https://www.facebook.com/NTUstarcontest/

และมี VTR Present ดาว-เดือน 2017

https://www.facebook.com/groups/nationu/permalink/1616276658438198/

มี 3 อัลบั้มที่น่าสนใจ ดังนี้
1. น้องนัด กาซีล็อต – 297 ภาพ
https://www.facebook.com/groups/nationu/permalink/1619380301461167/

2. Rungpet Arunchitti – 143 ภาพ
https://www.facebook.com/groups/nationu/permalink/1619337274798803/

3. NTU Star Contest 2017 – 77 ภาพ
https://www.facebook.com/NTUstarcontest/posts/557102311348309

โพสท์ใน ทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ปิดความเห็น บน งาน freshy night 2560