NTU-FUT 4th Joint Symposium 2017

อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง รายงาน

การประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ เมืองฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น

NTU-FUT 4th Joint Symposium 2017

February 13-19, 2018 Fukui University of Technology, Japan

มหาวิทยาลัยเนชั่น ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ตระหนักถึงพันธกิจสำคัญของความเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาติกับบทบาทการผลิตบัณฑิตคุณภาพอันพึงประสงค์ การสร้างผลงานวิจัยที่เกิดจากความรู้ ความสามารถของนักศึกษา คณาอาจารย์  ด้วยการนำองค์ความรู้ถ่ายทอดการปฏิบัติสู่สังคมและชุมชนในลักษณะการบริการวิชาการ การทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาอุดมศึกษาไทยให้มีผลสัมฤทธิ์ผลในการพัฒนาของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป จึงได้มีข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวได้ครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ อาทิ การส่งเสริมงานวิจัยร่วมกัน การแลกเปลี่ยนอาจารย์ด้านการสอนและการวิจัย การแลกเปลี่ยนนักศึกษาทั้งในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา การจัดการสัมมนาในหัวข้อที่เป็นที่สนใจของสังคม การจัดกิจกรรมกีฬาและการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม เป็นต้น โดยทั้งสองสถาบันได้ร่วมมือกันจัดกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 เป็นต้นมา และในปีการศึกษา 2560 นี้ ทั้งสองสถาบันจึงได้ร่วมกันจัดการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2560 (NTU-FUT 4th Joint Symposium 2017) ขึ้นระหว่างวันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ เมืองฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ความร่วมมือของทั้งสองสถาบันเกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป

วัตถุประสงค์

1. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแพร่องค์ความรู้จากผลงานวิจัย งานวิชาการ และงานสร้างสรรค์ของอาจารย์และนักศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ

2. เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมการแสดงออก การเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ศิษย์เก่า นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจเกี่ยวกับประเด็นปัญหา/ผลกระทบและแนวทางการพัฒนาประเทศ

ผลการดำเนินงาน

การดำเนินงานโครงการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2561 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 กิจกรรม ประกอบด้วย 1) การบรรยายพิเศษ (Keynote Address) 2) การนำเสนอผลงานทางวิชาการ (Presentation) และ 3) การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ผลการดำเนินงานดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. การบรรยายพิเศษ (Keynote Address) เรื่อง The use of online media by the elderly in Lampang โดย อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง, NTU

2. การนำเสนอผลงานทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่

2.1 Chlorophylls: a double-edged sword for life on earth by Dr.Yuichiro Kashiyama, FUT

2.2 History of bridges – ancient time, middle age and future by Dr.Kazuhiro Tanawaki, FUT

2.3 Comparison of Lampang ceramic and Echizen ceramic: The movement from the past to future by Miss Pornpan Sudasna, FUT

2.4 Development of innovative home-visit services at Sri moard klaw Health Promotion Hospital, Lampang โดย อ.นิภรดา ยาวิราช พงศ์กรพิทยา, NTU

2.5 Guildeline for creative experiential tourlism management in Lampang province โดย อ.นิฤมล หิรัญวิจิตรภรณ์, NTU

3. การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เรื่อง Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology ระหว่างนักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่น ร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น มีการดำเนินการดังนี้

3.1 นักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่นที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ได้แก่

3.1.1 นายณัฐกฤษณ์ เนตรทิพย์ ชั้นปีที่ 2 คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (ลำปาง)

3.1.2 นายวัชราวุธฒ์ มณฑา ชั้นปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์ (ลำปาง)

3.1.3 นางสาวจีรนันท์ แซ่เฮ้อ ชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ลำปาง)

3.1.4 นางสาวนภัสสร บุญเดช ชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ (บางนา)

3.2 รับฟังการบรรยายพิเศษ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้

3.2.1 SHINKANSEN: History & Design by Dr.Takeshi Ikeda

3.2.2 Use of satellite data by Dr.Tomoyuki Nakajo

3.2.3 Business initiatives for Hokuriku Shinkansen extension to Tsuruga JR West Fukui Branch by Kouichi Kakui, General Manager of JR West Fukui Branch

3.3 ศึกษาดูงาน จำนวน 7 แห่ง ดังนี้

3.3.1 FUT campus tour, Fukui city

3.3.2 FUT Awara campus

3.3.3 Industrial Technology Center of Fukui Prefecture

3.3.4 Construction site for SHINKANSEN

3.3.5 Seiren Planet, Museum of astronomy

3.3.6 การพัฒนาผังเมืองและการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคม

3.3.7 Science Museum in Tokyo

3.4 การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ภายใต้หัวข้อ การฟื้นฟูเมืองลำปางและเมืองฟุคุอิโดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำ Revitalization of Lampang city and Fukui city using leading technology

3.4.1 นักศึกษาจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทีมๆละ 7-8 คน คละสถาบัน ได้แก่

3.4.1.1 Lampang team : แนวทางการพื้นฟู Lampang city

3.4.1.2 Fukui team : แนวทางการพื้นฟู Fukui city

3.4.2 นักศึกษาทำการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของ Lampang city and Fukui city ข้อมูลจากการบรรยายพิเศษ และข้อมูลจากการศึกษาดูงาน แล้วสังเคราะห์ข้อมูลและคิดสร้างสรรค์แนวทางพื้นฟูเมืองทั้งสอง ซึ่งผลงานของนักศึกษา ได้แก่

3.4.2.1 Lampang team : แนวทางการพื้นฟู Lampang city ชื่อผลงาน King of satellite pineapple

3.4.2.2 Fukui team : แนวทางการพื้นฟู Fukui city ชื่อผลงาน Hokuriku Shinkansen love Story

3.4.3 นักศึกษาทั้งสองสถาบันร่วมกันนำเสนอผลงานสร้างสรรค์ จำนวน 2 ผลงาน ในการประชุมวิชาการร่วม ครั้งที่ 4 มหาวิทยาลัยเนชั่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฟุคุอิ ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2560 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561

ประโยชน์ที่ได้รับจากการประชุมวิชาการ

1. นักศึกษาได้เรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในต่างแดน ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม เพื่อปรับทัศนคติและแนวคิดในการทำงานของตนในอนาคต เช่น กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงความคิดเห็น การมีวินัยและความรับผิดชอบในการทำงาน การมีความสุภาพและมารยาทในการอยู่ร่วมกันในสังคม การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฯลฯ

2. อาจารย์ได้เรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ในการผลิตผลงานทางวิชาการ และการนำเสนอผลงาน อันจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองในสายวิชาการต่อไป

3. การทำงานร่วมกันของนักศึกษาและอาจารย์ ได้ส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองสถาบันมีความสนิทสนมและแน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้น ทำให้การดำเนินงานกิจกรรมทางวิชาการมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง

 

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18

อดิศักดิ์ จำปาทอง/19 มีนาคม 2561

โพสท์ใน คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ใส่ความเห็น

ประสบการณ์ในการขอตำแหน่ง “ผู้ช่วยศาสตราจารย์”

ผศ.บดินทร์ เดชาบูรณานนท์

อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น

 

ตำแหน่งทางวิชาการ หมายความถึง วิทยฐานะที่ทรงเกียรติของอาจารย์ในระดับอุดมศึกษา ซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์พิเศษ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน (https://www.rsu.ac.th, 2559)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (assistant Professor) ใช้อักษรย่อว่า “ผศ.” เป็นตำแหน่งทางวิชาการ ต่อมาจากตำแหน่ง อาจารย์ ก่อนจะเป็น รองศาสตราจารย์ โดยต้องมีชั่วโมงสอน มีผลงานเอกสารประกอบการสอนอย่างน้อย 1 รายวิชา คุณภาพดี และผลงานวิจัย คุณภาพดี หรือ ผลงานทางวิชาการในลักษณะอื่น ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์แสดงถึงมีความรู้ ความสามารถ และมีผลงานทางวิชาการ ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีหน้าที่หลักในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาชั้นสูง คือ มีชั่วโมงสอนประจำวิชาใดวิชาหนึ่งที่กำหนดไว้ในหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาและมีความชำนาญในการสอน และเสนอเอกสารประกอบการสอนที่ผลิตขึ้นสำหรับการสอนทั้งรายวิชาไม่น้อยกว่า 1 รายวิชา ซึ่งมีคุณภาพดี และได้ใช้ประกอบการสอนมาแล้ว โดยผ่านการประเมินจากคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการในข้อบังคับของสภาสถาบัน (https://th.wikipedia.org, 2559)

ผู้เขียนได้ยื่นเรื่องเพื่อเสนอขอตำแหน่งทางวิชาการ ระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ในสาขาวิชานิเทศศาสตร์ โดยวิธีปกติ สิ่งสำคัญอันดับแรก คือการตรวจสอบความพร้อมของตนเอง ทางด้านคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง รวมทั้งเอกสารและผลงานทางวิชาการ ซึ่งสามารถสรุปจากประสบการณ์เฉพาะของผู้เขียนในการขอตำแหน่งได้ ดังนี้

1. คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง

คุณวุฒิ และระยะเวลาการเป็นอาจารย์ คุณวุฒิปริญญาโท ซึ่งต้องมีระยะเวลาการเป็นอาจารย์ไม่น้อยกว่า

5 ปี (สำหรับคุณวุฒิอื่นๆ จะแตกต่างในเรื่องของระยะเวลาการเป็นอาจารย์)

2. การสอน

2.1 การสอน  เป็นการเลือกรายวิชาที่จะขอตำแหน่งมา 1 รายวิชา ที่มีความชำนาญในการสอน และมีเอกสารประการ

สอนคุณภาพดีที่ผ่านการใช้สอนมาแล้วอย่างน้อย 1 ภาคการศึกษา ในเอกสารประกอบการสอนไม่ได้จำกัดว่าต้องมีกี่บท ซึ่งในแต่ละบทจะต้องประกอบด้วย หัวข้อเรื่อง, วัตถุประสงค์การเรียนรู้, เนื้อหา, คำถามและกิจกรรมท้ายบท โดยเอกสารประกอบการสอนนั้น จะผ่านการประเมินจากคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งวิชาการภายในมหาวิทยาลัย

2.2 การสอบสอน ผู้เขียนขอให้คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งวิชาการเข้ามาสอบสอน ในรายวิชาที่ต้องการจะขอตำแหน่ง โดยทำเรื่องขอรับประเมินผลการสอนเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ เอกสารที่ต้องให้กับทางคณะกรรมการ ได้แก่ เอกสารประกอบการสอน, สื่อการสอน, แผนการสอน (มคอ.3) และแบบสรุปผลการประเมินการเรียนการสอนโดยนักศึกษา (ย้อนหลังประมาณ 3 เทอม) สำหรับในรายวิชาดังกล่าว  กล่าวในการสอบสอนต้องมีการเตรียมตัว การเตรียมเนื้อหา การให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วม กิจกรรมในชั้นเรียน และการบริหารจัดการเวลาให้มีความเหมาะสม ซึ่งการเรียนการสอน หัวข้อที่สอนจะต้องตรงกับแผนการสอน (มคอ.3) เมื่อคณะกรรมการเข้าประเมินการสอนในชั้นเรียนมีมติให้สอนผ่าน จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนของการพิจารณาผลงานวิจัยโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมหาวิทยาลัย หากผลการสอนไม่ผ่านจะไม่ได้ไปสู่ขั้นตอนต่อไป  ดังนั้นการสอบสอนจึงเป็นสิ่งสำคัญ และคณะกรรมการจะอยู่ในชั้นเรียนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบชั่วโมง

3. ผลงานทางวิชาการ

3.1 งานวิจัย

ตามเกณฑ์ในการขอตำแหน่งจะต้องเป็นผลงานวิจัยคุณภาพดี ที่แสดงความชำนาญหรือเชี่ยวชาญในสาขาวิชา  และได้ตีพิมพ์เผยแพร่เป็นบทความวิจัยในวารสารวิชาการ (วารสารที่ลงต้องมีรายชื่อปรากฏในฐานข้อมูล TCI) ผู้เขียนเสนองานวิจัยเชิงคุณภาพที่เป็นหัวหน้าโครงการ โดยงานวิจัยจะถูกส่งให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (Readers) ภายนอก ประมาณ 3-5 ท่าน พิจารณาผลงาน การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิและผลการประเมินเป็นความลับทุกกรณี และจะใช้เวลาหลายเดือน  เพราะต้องรอผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่านตรวจอ่านและประเมิน ข้อแนะนำสำหรับขั้นตอนนี้ควรเป็นผลงานวิจัยที่ทำคนเดียว 100% เมื่อส่งงานวิจัยไปแล้ว ผู้วิจัยจะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขหรือเพิ่มเติมได้อีก

คณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งวิชาการของมหาวิทยาลัย จะพิจารณาผลการประเมิน โดยสภามหาวิทยาลัยพิจารณาให้ความเห็นชอบ อธิการบดีจะเป็นผู้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง ทั้งนี้ผู้เขียนได้ยื่นเรื่องเพื่อเสนอขอตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 และได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558

#บดินทร์เดชาบูรณานนท์ #มหาวิทยาลัยเนชั่น #ผู้ช่วยศาสตราจารย์ #การขอตำแหน่งทางวิชาการ

———————————————————–

บรรณานุกรม

ความหมายของตำแหน่งทางวิชาการ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.rsu.ac.th. ,

(วันที่ค้นข้อมูล : 28 พฤษภาคม 2559)

ความหมายของผู้ช่วยศาสตราจารย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :  https://th.wikipedia.org. ,

(วันที่ค้นข้อมูล : 28 พฤษภาคม 2559)

โพสท์ใน คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ใส่ความเห็น

การพัฒนานักวิจัย : การตลาดเชิงสร้างสรรค์ด้วยมิติการคิดจากมุมมองของลูกค้า

อ.อดิศักดิ์ จำปาทอง

การอบรม เรื่อง การตลาดเชิงสร้างสรรค์ด้วยมิติการคิดจากมุมมองของลูกค้า จัดขึ้นโดยศูนย์นวัตกรรมล้านนา เครือข่ายบริหารการวิจัยภาคเหนือตอนบน เมื่อวันที่ 1-2 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมอิมพิเรียลแม่ปิง จังหวัดเชียงใหม่ มีเป้าหมายในการพัฒนานักวิจัยและผู้ประกอบการที่สนใจเกี่ยวกับการตลาดเชิงสร้างสรรค์ คือ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือการนำสิ่งที่มีอยู่มาวางแผนประยุกต์ใช้ให้เกิดความแตกต่าง และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งต้องเริ่มจากการคิดให้แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ (Creative Differential) แล้วนำสิ่งที่มีอยู่มาปรับใช้ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

การอบรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักวิจัยและผู้ประกอบการได้รับความรู้และเกิดแรงบันดาลใจทางความคิดสร้างสรรค์ ด้วยมุมมองและเนื้อหาทางด้านการตลาด สามารถนำความรู้มาต่อยอดใช้ในแผนกลยุทธ์ขององค์กร โดยเน้นการปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนำแนวคิดทางการสร้างสรรค์และการตลาดมาปรับใช้กับธุรกิจและงานวิจัย เพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืน

สาระสำคัญจากการอบรม

What did we know?

1. Defining ค้นหาของคำว่า Consumer insight ในแบบของแต่ละคน มองหาความเหมือนและความแตกต่างมาจากไหน? อะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น? ถูกนำไปใช้อย่างไรในตลาดปัจจุบัน

—การค้นหาของคำว่า Consumer insight จะอาศัยหลักการของการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (empathy) เเละความสงสาร (sympathy) เพราะเมื่อเราเริ่มเห็นใจหรือสงสารผู้อื่น เราจะมีความพยายามสร้างสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อื่นเสมอ

—การค้นหาของคำว่า Consumer insight จะเป็นความพยายามเข้าถึงความต้องการส่วนลึกในใจผู้บริโภค (Insight) และป้อนข้อมูลข่าวสาร (Information) ให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจ (Understand) เกี่ยวกับสินค้าและบริการ เพื่อใช้สินค้าและบริการนั้นตอบสนองความต้องการของตนเอง

—Insight ของ Consumer จะเกิดขึ้นและมีความสัมพันธ์กับค่านิยม (Value) และความเชื่อ (Belief) ของตน เพื่อค้นหาสินค้ามาตอบสนองความต้องการของตน (Want)

2. Deconstruction การมองย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของ Consumer insight ว่าตรงไหน? ข้อไหน? ส่วนไหน? ที่มีอิทธิพลต่อการตลาด ต่อการตัดสินใจ รวมทั้งการหารอยตัด จุดต่อ หาหน้าที่การใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆของสิ่งเหล่านั้น

—ผู้บริโภคจะมีมุมมอง (Mindscape) ของแต่ละคนในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆรอบตัว ตามค่านิยม (Value) และความเชื่อ (Belief) ความรู้สึก ความรู้ (Knowledge) ข้อมูล (Information) และค้นหาสินค้าและบริการนั้นตอบสนองความต้องการของตนเอง โยมีความพยายามหากฎเกณฑ์ หรือสมการ หรือความสัมพันธ์ (Relation) มาเชื่อมโยง (Connect) สิ่งต่างๆรอบตัวไว้เป็นแนวความคิด (Concept) ของตนเอง

—วิธีการเข้าถึงผู้บริโภค Consumer insight ที่นิยมทำกันในวงการตลาด คือ การวิจัย Research เช่น มักจะมีการตั้งคำถามว่า What do they want? What do they think about us or competitor? What do they prefer? Who am I to them?

—การค้นหาจุดเชื่อมโยงของสินค้าและบริการ ระหว่างแต่ละกลยุทธ์ (Strategy) ของสินค้า ค้นหาความสัมพันธ์ (Relation) ค้นหาจุดที่น่าสนใจ จุดเด่นที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ และจุดตอกย้ำความต้องการนั้น จัดเรียงลำดับเป็น Sequence

What did we do?

3. Discovery เชื่อมรอยตัด ให้ต่อกันเป็นรอยใหม่ สร้างโอกาสใหม่ๆให้กับการตลาด ให้เข้าถึงและตอบสนองความต้องการของ Insight Consumer ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสินค้าหรือบริการ

—การสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับการตลาด ด้วยการคิดนอกกรอบ Think out of the box การค้นหาเอกลักษณ์ของสินค้าและบริการ จุดน่าสนใจ เช่น สวย แปลก การหาพันธมิตรทางธุรกิจ (Partner) เพื่อความใหม่ ความแตกต่าง ความหลากหลาย และเติมเต็มในสิ่งที่เราขาด และ Support ซึ่งกันและกัน

4. Disrupt การสร้างกรอบกฎเกณฑ์ใหม่ที่ไม่ใช่ทางเดิมๆที่เคยทำมา เพื่อพัฒนาทั้งระบบความคิดของเจ้าของสินค้า นักการตลาด หน้าตาของสินค้าและบริการ เพื่อให้เกิดทางเดินใหม่ เพื่อให้ Vision เป็นรูปร่างที่แข็งแรง ยั่งยืน เหมาะสม และร่วมสมัย

 

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อประกอบความเข้าใจเรื่อง การตลาดเชิงสร้างสรรค์ ด้วยมิติการคิดจากมุมมองผู้บริโภค ดังนี้

1. บทความเรื่อง 3 ทางในการที่จะได้ Consumer Insight เขียนโดย Molex ในนิตยสารออนไลน์ marketingoops เข้าถึงได้ทาง https://www.marketingoops.com/exclusive/how-to/3-ways-to-get-consumer-insight/ สรุปได้ดังนี้

ข้อแนะนำในการหา Consumer insight ด้วย 3 วิธีง่ายๆ ได้แก่

1) เอาใจเรา ไปใส่ใจเขา : การเข้าใจว่าผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายนั้นคิดอย่างไร เพื่อที่จะหา Consumer Insight สิ่งสำคัญคือการใช้การเก็บข้อมูลแบบ consumer-centric approach จากการศึกษาพบว่าผู้บริโภคเพียงแค่ 8% รู้สึกมีประสบการณ์ที่ดีกับการซื้อของออนไลน์ทำให้เห็นว่าหลายๆ แบรนด์ยังไม่เข้าใจผู้บริโภคดีพอ จนสามารถทำให้เกิดประสบการณ์พึงพอใจในการใช้งานได้ เพื่อที่จะเข้าใจกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้ได้ การทำตัวหรือเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในมุมมองผู้บริโภคนั้นจึงสำคัญมาก วิธีการที่ใช้กันคือการทำ Empathy Map ออกมา หรือง่ายๆ คือการตอบคำถามเหล่านี้ กลุ่มลูกค้าหรือเป้าหมายคุณเป็นใคร เค้ากำลังอยากได้อะไร และกระบวนการตัดสินใจมาซื้อสินค้านั้นเกิดจากอะไร รวมทั้งหาข้อมูลที่จะเอาสินค้าเหล่านี้มาจากไหน

ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแบรนด์ส่วนใหญ่คือการไม่เข้าใจ Consumer Insight ให้ลึกพอในระดับ Consumer Journey ว่าผู้บริโภคกำลังเกิดปัญหาหรือความต้องการแบบไหน และต้องผ่านขั้นตอนแบบไหนจนมาถึงแบรนด์เรา หลายๆ แบรนด์ไม่เคยทำตัวมาเป็นลูกค้าเสียเอง และไม่เคยเจอว่า Stake Holder ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าทั้งหมดนั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นต้องแต่ Content ที่ต้องหา Call Center หน้าร้านจนถึงบริการหลังการขายนั้นเอง ดังนั้นการหา consumer insight ง่าย ๆ แบบแรก ๆ เลยคือการทำตัวเป็น Consumer เสียเองหรือให้คนรู้จักลองทำการเป็น Consumer ออกมา

2) ใช้ Data จากการเก็บข้อมูลมา : การหา Consumer Insight ง่ายๆ ในแบบต่อมาคือการทำการเก็บข้อมูลผ่านเครื่องมือต่างๆ และ Digital Asset ของตัวเองเอาไว้ ข้อมูลเหล่านี้สามารถเก็บผ่านเครื่องมือ CRM ต่างๆ และ Monitoring กับ Listening Platform ทั้งหลาย ซึ่งสามารถเอามาวิเคราะห์ทำให้เห็นภาพว่าผู้บริโภคกำลังคิดอย่างไรกับแบรนด์หรือสินค้าของเราออกมา

เมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้มาเป็นการง่ายที่จะเริ่มการวิเคราะห์ประสิทธิภาพตัวเองได้ว่าการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แล้วมาให้ประสิทธิภาพอย่างไรบ้าง และ Consumer แต่ละคนประพฤติตัวหรือมีความคิดเห็นอย่างไรในการใช้งานหรือมาเลือกใช้งานแบรนด์และสินค้าต่างๆ ออกมา การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้สามารถให้ประโยชน์ได้มากมายถ้าเจาะลึกลงไปในส่วนต่างๆ และสามารถปรับปรุงให้การตลาดของตัวเองดีขึ้นได้อย่างมาก โดยเฉพาะการสร้างการตลาดที่สามารถดึงกลุ่มเป้าหมายให้กลับมาซื้อได้เพิ่มขึ้น สร้างการบอกต่อเพิ่มขึ้นนั้นเอง

3) การถามตรงๆ : การทำ Consumer Insight แบบนี้เป็นวิธีการที่ดูโบราณ แต่ก็ยังได้ผลอยู่ทุกวันนี้ วิธีการเหล่านี้คือการเข้าไปทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายโดยตรงและใช้วิธีการถามในรูปแบบต่าง ๆ ออกมา เพื่อสกัดสิ่งที่ผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายคิดออกมาเป็น Consumer Insight นั้นเอง โดยวิธีการนั้นสามารถใช้วิธีการได้หลากหลายรูปแบบดังนี้คือ

การสัมภาษณ์ผู้บริโภคโดยตรง คือการเข้าถามสัมภาษณ์ผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมายออกมาว่า กำลังคิดอะไร กำลังมีปัญหาอะไร อยากได้อะไร และต้องการให้แบรนด์หรือสินค้าแก้ปัญหาอย่างไรออกมา คำถามเหล่านี้จะทำให้รู้ด้วยว่า กลุ่มเป้าหมายเลือกแบรนด์จากตรงไหน และเจอแบรนด์ที่ไหน ตัดสินใจจากอะไรด้วย ทำให้สามารถได้คำตอบที่ถูกต้องมาก อีกทางคือการทำ Focused Group นั้นคือการหากลุ่มต่าง ๆ ที่ติดว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายมาตั้งคำถามหรือทำการสร้าง Situatiuon ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อเข้าใจความคิดของกลุ่ม Focused Group เหล่านี้ออกมา สิ่งที่จะได้จากการทำนี้คือการได้คำตอบหรือแนวคิดที่จะสามารถเอาไปสร้างการสื่อสารทางการตลาดได้เลย

ทั้งนี้การทำ Consumer Insight นั้นคือส่วนสำคัญอย่างมากในการตลาด เพราะสามารถทำให้เกิดความเข้าใจผู้บริโภค จนวางกลยุทธ์ทางการสื่อสารได้ถูกต้อง และทำให้ลงมือได้ถูกต้องจนทำการตลาดของตัวเองนั้นได้ผลขึ้นมา

2) บทความเรื่อง ลึกสุดใจ…Consumer Insight แบบไหนถึงจะโดน ทางนิตยสารออนไลน์ positioningmag เข้าถึงได้ทาง https://positioningmag.com/13450 สรุปได้ดังนี้

—จิตพนิศา อุดมศิลป์ Managing Partner บริษัท Circle จำกัด บอกว่า ในการทำวิจัยแต่ละครั้ง ผลการศึกษาที่ได้รับมาจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ด้วยกัน คือ Information, Understand และ Insight

ข้อมูลที่เป็น Information มักตอบแค่พื้นฐานความต้องการของผู้บริโภคว่า พวกเขาต้องการอะไร หรือกำลังมองหาอะไรอยู่ ขณะที่ข้อมูลที่จัดอยู่ใน Understand มักเกี่ยวข้องในการหาเหตุผลว่าทำไมพฤติกรรมผู้บริโภคถึงแสดงออกมาในลักษณะนี้

แต่ข้อมูลประเภท Insight ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จะต้องตอบคำถามที่ว่า ทำไมสิ่งใดสิ่งหนึ่งถึงมีความสำคัญกับผู้บริโภค และส่งผลต่อ Value, Belief และ Self-esteem ของพวกเขาอย่างไร และที่สำคัญ Consumer Insight ที่นำมาพัฒนามาเป็นแคมเปญ ต้องตอบ “Want” ของผู้บริโภค ไม่ใช่ “Need”

ถึงแม้ว่า Need จะเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่มีแล้วอาจใช้ชีวิตได้ลำบาก แต่ช่องว่างในการพัฒนาสินค้าเพื่อเติมเต็ม Need ซึ่งตอบจุดประสงค์แบบตรงไปตรงมาไม่มีเหลืออีกต่อไป เพราะฉะนั้น สินค้าทุกวันนี้จึงต้องพัฒนาขึ้นอยู่บนพื้นฐานเพื่อเติมเต็มความต้องการที่ซับซ้อนขึ้นของผู้บริโภค

ตัวอย่างเช่น ผงซักฟอก ซึ่ง Function หลักของสินค้านี้ คือ ทำความสะอาดผ้าที่ใส่แล้วให้สะอาด ไม่มีคราบสกปรกติดอยู่ ซึ่งหากแบรนด์สินค้าต่างๆ มุ่งแต่ตอบจุดประสงค์นี้เพียงอย่างเดียว ก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างแบรนด์เกิดขึ้น ดังนั้น แบรนด์จึงต้องหา Consumer Insight ที่ตอบ Want ของผู้บริโภคที่ต้องการอะไรเพิ่มเติมมากกว่า Function หลักของสินค้า

ที่ผ่านมา จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่า หลังจากนำผ้าออกมาจากเครื่องซักผ้า หรือซักน้ำสุดท้ายเสร็จแล้วพร้อมตาก ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ แทนการตรวจคราบสกปรกด้วยสายตา พวกเขาจะหยิบผ้าขึ้นมาดม ซึ่งถ้าผ้ามีกลิ่นหอมย่อมหมายถึงความสะอาด ส่งผลให้แบรนด์หยิบ Consumer Insight ที่สำคัญนี้มาพัฒนาสินค้า โดยเพิ่มน้ำหอมลงไป และให้กลิ่นติดทนนานที่แม้กระทั่งแดดก็ไม่สามารถทำลายความหอมได้

สำหรับกรณีศึกษาต่างประเทศ Victoria’s Secret คือ แบรนด์ที่ตอบความต้องการแบบ Want ได้ดีที่สุด ชุดชั้นในคือสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกคน ดังนั้น ไม่ว่ายังไงก็ตามพวกเธอต้องซื้อสินค้านี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ Victoria’s Secret ทำ คือ เพิ่ม Want เข้าไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายบ่อยครั้งขึ้น ออกชุดชั้นในคอลเลกชั่นใหม่ ที่ตอบความต้องการของผู้หญิงโดยอิงช่วงอารมณ์เป็นหลัก

—อัศวิน โรจเมธทวี Marketing Activation Manager ของ บริษัท Thai Asia Pacific Brewery จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มไฮเนเก้น ก็ได้นำเคสของแบรนด์ไฮเนเก้นในการหา Insight ที่ใช่มาร่วมแบ่งปันข้อมูลเช่นกัน

ก่อนอื่นเขาได้อธิบายถึงนิยามของ Consumer Insight ซึ่งคนส่วนใหญ่มักคิดว่า Consumer Insight เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย

แต่อันที่จริงแล้ว Consumer Insight คือ ความรู้หนึ่งเดียวที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย และส่งผลเฉพาะเจาะจงเมื่อนำมาพัฒนาและปรับใช้กับพวกเขา เปรียบได้กับกุญแจที่ปลดล็อกผู้บริโภค ซึ่งข้อมูลที่จะเรียกว่า Consumer Insight ได้ต้องลึกถึงพฤติกรรมผู้บริโภคว่าพวกเขาทำอะไร ทำไมถึงทำ มีการใช้ชีวิตอย่างไร และเจาะเข้าไปถึงแก่นก้นบึ้งของจิตใจผู้บริโภคเป้าหมายให้ได้

การสื่อสารแรกที่พัฒนาจาก Consumer Insight เป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องสร้างสรรค์ออกมาให้คม เพราะแบรนด์จำเป็นต้องได้ Attention Getting ไม่ใช่แค่ Awareness เนื่องจากปัจจุบัน แทบไม่สามารถแยกและหาความแตกต่างของสินค้าระหว่างแบรนด์ได้

ดังนั้น Unique Insight จะช่วยให้แบรนด์สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้มาก

อัศวินได้ยกกรณีตัวอย่างของไฮเนเก้น ที่กลายเป็น Classic Case Study ที่ต้องหยิบยกมาเป็นตัวอย่างเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับ Consumer Insight

ในฐานะสปอนเซอร์หลักของการแข่งขันฟุตบอล UEFA Champion League ไฮเนเก้นได้พยายามคิดกิจกรรมรูปแบบใหม่เพื่อสร้างความตื่นเต้นและประทับใจให้กับบรรดาคอฟุตบอล

ในปีนั้นรอบชิงชนะเลิศเป็นการแข่งขันระหว่างสองทีมที่มีแฟนติดตามเป็นจำนวนมาก Real Madrid และ AC Milan ซึ่งก่อนหน้านั้นไฮเนเก้นได้ทำการวิจัยผู้บริโภคแล้วพบ Consumer Insight ที่ล้ำลึกกว่าแค่ผู้ชมเป็นเพศชายอายุ 22–35 ปี ดื่มเบียร์ระหว่างชมฟุตบอล ชอบสังคม และฟุตบอลคือชีวิตของพวกเขา อัศวินบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ Consumer Insight เป็นเพียงแค่ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น

แต่ Consumer Insight ของการวิจัยครั้งนี้ที่ทางไฮเนเก้นค้นพบ คือ “ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่าที่ได้ใช้ช่วงเวลากับการแข่งขันฟุตบอล UEFA Champion League”

ไฮเนเก้น ที่ประเทศอิตาลี จึงได้จัดอีเวนต์ปลอมขึ้นมา ซึ่งเป็นการแสดงเกี่ยวกับดนตรีคลาสสิกและบทกวีในเวลาเดียวกับที่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระหว่าง Real Madrid กับ AC Milan

แฟนฟุตบอล AC Milan ประมาณพันคนยอมเสียสละไม่ติดตามการแข่งขันนี้ที่ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ หลังจากถูกชักชวนให้มาร่วมงานที่ทางไฮเนเก้นได้เตรียมขึ้นจากบรรดาแฟนสาวที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดจำนวน 100คน อาจารย์อีก 50 คน รวมทั้งนักข่าวจำนวนมากก็โดนบังคับจากเจ้านายที่รู้กันกับไฮเนเก้นให้มาร่วมงานนี้ ซึ่งกิจกรรมถูกถ่ายทอดสดผ่านทาง Sky Sport โดยมีบทสัมภาษณ์จากทางเซเล็บชื่อดังในแวดวงกีฬา

หลังจากคอนเสิร์ตเริ่มต้นไปได้ประมาณ 15 นาที บรรดาแฟนฟุตบอลที่ต่างติดอยู่ในงานนี้ออกอาการกระสับกระส่าย และคิดถึงการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญที่พวกเขากำลังจะพลาด และตอนนั้นเอง นักดนตรีเปลี่ยนจากดนตรีคลาสสิก เป็นเพลงธีมของ UEFA Champion League พร้อมกับภาพถ่ายทอดสดจากสนามปรากฏบนจอขนาดใหญ่กลางเวที

ผลที่ได้จากกิจกรรมนี้ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมแบบไม่ตั้งใจเพียงแค่ 1136 คน แต่มีผู้ชมกว่า 1.5 ล้านคนรับชมกิจกรรมนี้ผ่านทาง Sky Sport 10 ล้านคนเห็นจากข่าวในวันรุ่งขึ้น มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรับชมคลิปกิจกรรมนี้มากถึง 5ล้านหลังจากกิจกรรมผ่านไปสองสัปดาห์ และยังมีแฟนอีกจำนวนมากที่ชื่นชมกิจกรรมนี้ผ่านทางบล็อก และ Social Network

กิจกรรมนี้ของไฮเนเก้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า Consumer Insight ที่ใช่มีพลัง และอิทธิพลมากมายต่อผู้บริโภคมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะหาเจอหรือเปล่า

ตัวอย่างสินค้าที่พัฒนาจาก Insight
Insight Product Innovation
ตื่นมาหัวฟู Long Hair Straight Variant
ดมผ้าก่อนตาก Detergent with fabric softener Perfume
แพทย์ผิวหนังทำให้มั่นใจ Dermatologist Clinic & Product

อะไรเรียกว่า Consumer Insight

—In-dept ต้องลงลึกถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค

—Original เจาะเข้าไปถึงแก่นก้นบึ้งของจิตใจ

—Consumer Insight ต้องตอบ Want ของผู้บริโภค ไม่ใช่ Need

—พฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของผู้บริโภค

IMG_090320180301_131329Untitled-2

อดิศักดิ์ จำปาทอง/17 มีนาคม 2561

โพสท์ใน การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ, คณะนิเทศศาสตร์, แนวทางการผลิตงานวิจัยเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ | ใส่ความเห็น

งาน freshy night 2560

อัลบั้ม Freshy night 2560 ณ มหาวิทยาลัยเนชั่น
ในชื่องาน NTU 60’s Millennium freshy night
ในวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 เวลา 16.00-24.00น.
ณ บริเวณโถงเสานัก และห้องประชุมใหญ่
อาคารคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเนชั่น

กำหนดการ freshy night

กำหนดการ freshy night

มีแฟนเพจที่
https://www.facebook.com/NTUstarcontest/

และมี VTR Present ดาว-เดือน 2017

https://www.facebook.com/groups/nationu/permalink/1616276658438198/

มี 3 อัลบั้มที่น่าสนใจ ดังนี้
1. น้องนัด กาซีล็อต – 297 ภาพ
https://www.facebook.com/groups/nationu/permalink/1619380301461167/

2. Rungpet Arunchitti – 143 ภาพ
https://www.facebook.com/groups/nationu/permalink/1619337274798803/

3. NTU Star Contest 2017 – 77 ภาพ
https://www.facebook.com/NTUstarcontest/posts/557102311348309

โพสท์ใน ทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , | ใส่ความเห็น

การพัฒนาความรู้ด้านการเรียนการสอน

การพัฒนาความรู้ด้านการเรียนการสอน

KMIT-2

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 อาจารย์ศศิวิมล แรงสิงห์ และอาจารย์เกศริน อินเพลา ได้เข้าร่วมการอบรมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในประเด็น “การคำนวณหาคุณภาพของข้อสอบปรนัย-อัตนัย โดยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ” ซึ่งมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิริพร เสริตานนท์ เป็นวิทยากรในการให้ความรู้ และมีการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเข้ามาช่วยในการประมวลผลและการตีความหมาย อาจารย์ศศิวิมล แรงสิงห์ ได้มีการให้ความช่วยเหลือ(วิทยากรช่วย)ในการดูแลและติดตามการใช้งานโปรแกรมระหว่างการอบรมแก่ผู้เข้าร่วมการอบรม

รูปแบบการอบรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

  1. มีการบรรยาย “การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรูปแบบข้อสอบแบบ ปรนัย-อัตนัย” พร้อมทั้งการนำข้อมูลเข้าโปรแกรมสำเร็จรูปฯ และการวิเคราะห์-ตีความผลการวิเคราะห์คะแนนผลการสอบ
  2. การยกตัวอย่าง การนำผลการให้คะแนนตามข้อสอบในรูปแบบปรนัย และแบบอัตนัย ในรายวิชาต่างๆ พร้อมทั้งการยกตัวอย่างรูปแบบการออกข้อสอบที่ไม่เหมาะสมกับการสอนในระดับอุดมศึกษา
  3. มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การวิเคราะห์ การหาข้อสรุป รูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์ข้อสอบในรูปแบบปรนัย และแบบอัตนัย

วัตถุประสงค์ของการอบรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เพื่อทำความเข้าใจวิธีและกระบวนการวัดประเมินผลการออกแบบสอบและการให้คะแนนของอาจารย์ผู้สอน
ประโยชน์ของการนำมาพัฒนาในการเรียนการสอนในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ

  1. นำความรู้ความเข้าใจมากระบวนการวัดประเมินผลการออกแบบสอบและการให้คะแนนของอาจารย์ในแต่ละรายวิชาในปีการศึกษาต่อไป
  2. ถ่ายทอดความรู้และวิธีการวัดและประเมินผลให้คณาจารย์ในคณะ
  3. ทดลองการประเมินผลการให้คะแนนในรายวิชาต่างๆ อย่างน้อย 5 รายวิชาในแต่ละภาคเรียน ของปีการศึกษา 2560

สรุปเนื้อหาที่ได้จากการอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในปัจจุบันนิยมใช้แบบทดสอบเป็นเรื่องมือในการวัดและประเมิน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบปรนัย เป็นแบบทดสอบที่ให้เลือกตอบจากสิ่งที่กำหนดมาให้แล้ว โดยคำตอบของแบบทดสอบแบปรนัยจะมีความถูกต้องและชัดเจน เข้าใจตรงกันทั้งผู้สอบและผู้ตรวจ รวมทั้งมีความเชื่อถือได้ มีความยุติธรรม ในขณะที่แบบทดสอบอัตนัย จะมีลักษณะตรงกันข้าม ผู้สอบจะต้องเรียบเรียงแนวความคิดและความรู้ของตนเองเป็นสำคัญ หรือแม้แต่ผู้ตรวจคนเดียวกันอาจให้คะแนนคำตอบแต่ละคนไม่ยุติธรรม ขาดความเที่ยงตรง เพราะขาดกรอบของการตอบคำถาม ไม่มีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน ทำให้มีตัวแปรอื่นๆ เข้ามามีอิทธิพลต่อคะแนนที่ให้มากกว่า ซึ่งส่งผลต่อความเป็นปรนัย ความยุติธรรม และความเที่ยงตรงของการประเมิน

ข้อดีของแบบทดสอบอัตนัย

  1. ผู้ตอบมีโอกาสใช้ความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น
  2. ผู้ตอบที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น จะไม่สามารถเดาคำตอบได้เลย ซึ่งจะช่วยลดความคลาดเคลื่อนในการวัดได้เป็นอย่างดี
  3. ข้อสอบอัตนัยเหมาะกับการวัดผลทักษะในการเรียนทั้ง 6 ด้าน คือ วัดการจำรายละเอียดของเนื้อหา วัดความเข้าใจ วัดการนำไปใช้ วัดการวิเคราะห์ วัดการสังเคราะห์ และวัดการประเมิน
  4. ข้อสอบอัตนัยเป็นแบบทดสอบที่มีคุณสมบัติสามารถจำแนกผู้เรียนได้ตามความแตกต่างของบุคคลว่าใครเก่ง ปานกลาง อ่อน รอบรู้-ไม่รอบรู้

คุณภาพของแบบทดสอบอัตนัย
คุณภาพของแบบทดสอบอัตนัยมีลักษณะเช่นเดียวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดอื่น ซึ่งมีคุณลักษณะสำคัญที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่

  1. ความเที่ยงตรง (Validity) แบบทดสอบอัตนัยสามารถวัดผล วัดคุณลักษณะที่ต้องการจะวัดได้หรือไม่ ทั้งในด้านเนื้อหา โครงสร้าง และสภาพผู้เรียน
  2. ความเชื่อมั่น (Reliability) ใช้วัดความแน่นอนของแบบทดสอบอัตนัย ผลของการวัดแบบทดสอบ ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งผลจะต้องเท่ากัน ภายใต้เงื่อนไขและสถานการณ์เดียวกัน และค่าของความเชื่อมั่นจะอยู่ในเกณฑ์ 0.7 ≥ 1 ถือว่าเป็นข้อสอบที่เชื่อถือได้
  3. ความยากง่าย (Difficulty: P) ใช้วัดความยากง่ายของแบบทดสอบอัตนัย ซึ่งแบบทดสอบอัตนัยที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากหรือง่ายเกินไป ข้อสอบฉบับหนึ่ง ควรมีผู้ตอบถูก ไม่ต่ำกว่า 20 คนและไม่เกิน 80 คนจากผู้สอบ 100 คน นั่นคือค่า P อยู่ระหว่าง 0.2 – 0.8 จึงถือว่าเป็นข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายพอเหมาะ
  4. อำนาจจำแนก (Discrimination)คือลักษณะของแบบทดสอบ อัตนัยที่สามารถแบ่งเด็กออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ทุกระดับตั้งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด แม้ว่าจะเก่งอ่อนกว่ากันเพียงเล็กน้อยก็สามารถชี้จำแนกให้เห็นได้ ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.2 – 0.8 ถือว่าเป็นข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกพอเหมาะ

KMIT-1

โพสท์ใน ทั่วไป | ใส่ความเห็น

การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ

Image_f6bea00

จากการที่มหาวิทยาลัยเนชั่นได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการการจัดทำKM (สำหรับหน่วยงานสนับสนุน) ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 โดยมีวิทยากรคือ อาจารย์ดิลกา ไตรไพบูลย์ ผู้เข้าร่วมอบรมได้มีการทำกิจกรรมกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการให้บริการในหน่วยงานของตนและนำเสนอผลการประชุมกลุ่มย่อยซึ่งสามารถถอดบทเรียนได้ ดังนี้

กลุ่มที่ 1

1

กลุ่มที่ 2

2

กลุ่มที่ 3

3

กลุ่มที่ 4

4

โพสท์ใน ทั่วไป | ติดป้ายกำกับ , , | ใส่ความเห็น

การคำนวณหาคุณภาพของข้อสอบอัตนัยด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศิริพร เสริตานนท์ เป็นวิทยากร

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ณ ห้องประชุม ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์


การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในปัจจุบันนิยมใช้แบบทดสอบเป็นเรื่องมือในการวัดและประเมิน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบปรนัย เป็นแบบทดสอบที่ให้เลือกตอบจากสิ่งที่กำหนดมาให้แล้ว โดยคำตอบของแบบทดสอบแบปรนัยจะมีความถูกต้องและชัดเจน เข้าใจตรงกันทั้งผู้สอบและผู้ตรวจ รวมทั้งมีความเชื่อถือได้ มีความยุติธรรม ในขณะที่แบบทดสอบอัตนัยจะมีลักษณะตรงกันข้าม ผู้สอบจะต้องเรียบเรียงแนวความคิดและความรู้ของตนเองเป็นสำคัญ หรือแม้แต่ผู้ตรวจคนเดียวกันอาจให้คะแนนคำตอบแต่ละคนไม่ยุติธรรม ขาดความเที่ยงตรง เพราะขาดกรอบของการตอบคำถาม ไม่มีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน ทำให้มีตัวแปรอื่นๆ เข้ามามีอิธิพลต่อคะแนนที่ให้มากกว่า ซึ่งส่งผลต่อความเป็นปรนัย ความยุติธรรม และความเที่ยงตรงของการประเมิน

9316

ข้อดีของแบบทดสอบอัตนัย

  1. ผู้ตอบมีโอกาสใช้ความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษาแสดงความคิดเห็น
  2. ผู้ตอบที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น จะไม่สามารถเดาคำตอบได้เลย ซึ่งจะช่วยลดความคลาดเคลื่อนในการวัดได้เป็นอย่างดี
  3. ข้อสอบอัตนัยเหมาะกับการวัดผลทักษะในการเรียนทั้ง 6 ด้าน คือ วัดการจำรายละเอียดของเนื้อหา วัดความเข้าใจ วัดการนำไปใช้ วัดการวิเคราะห์ วัดการสังเคราะห์ และวัดการประเมิน
  4. ข้อสอบอัตนัยเป็นแบบทดสอบที่มีคุณสมบัติสามารถจำแนกผู้เรียนได้ตามความแตกต่างของบุคคลว่าใครเก่ง ปานกลาง อ่อน รอบรู้-ไม่รอบรู้

20170704_153216

คุณภาพของแบบทดสอบอัตนัย

คุณภาพของแบบทดสอบอัตนัยมีลักษณะเช่นเดียวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดอื่น ซึ่งมีคุณลักษณะสำคัญที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่

  1. ความเที่ยงตรง (Validity) แบบทดสอบอัตนัยสามารถวัดผล วัดคุณลักษณะที่ต้องการจะวัดได้หรือไม่ ทั้งในด้านเนื้อหา โครงสร้าง และสภาพผู้เรียน
  2. ความเชื่อมั่น (Reliability) ใช้วัดความแน่นอนของแบบทดสอบอัตนัย ผลของการวัดแบบทดสอบ ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งผลจะต้องเท่ากัน ภายใต้เงื่อนไขและสถานการณ์เดียวกัน และค่าของความเชื่อมั่นจะอยู่ในเกณฑ์ 0.7 1 ถือว่าเป็นข้อสอบที่เชื่อถือได้
  3. ความยากง่าย (Difficulty: P) ใช้วัดความยากง่ายของแบบทดสอบอัตนัย ซึ่งแบบทดสอบอัตนัยที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากหรือง่ายเกินไป ข้อสอบฉบับหนึ่ง ควรมีผู้ตอบถูก ไม่ต่ำกว่า 20 คนและไม่เกิน  80 คนจากผู้สอบ 100 คน นั่นคือค่า P อยู่ระหว่าง 0.2 – 0.8 จึงถือว่าเป็นข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายพอเหมาะ
  4. อำนาจจำแนก (Discrimination)คือลักษณะของแบบทดสอบ อัตนัยที่สามารถแบ่งเด็กออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ทุกระดับตั้งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด  แม้ว่าจะเก่งอ่อนกว่ากันเพียงเล็กน้อยก็สามารถชี้จำแนกให้เห็นได้ ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.2 – 0.8 ถือว่าเป็นข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกพอเหมาะ

20170704_154550

โพสท์ใน ทั่วไป | ใส่ความเห็น

เทคโนโลยีชีวภาพ : จากวิชาการไปสู่ผู้ประกอบการ

จากวิชาการไปสู่ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีชีวภาพ Bio-education to Bioentrepreneur

โดย อาจารย์เมธัส ชูเวช (วท.บ.)ชีวเคมีและชีวเคมีเทคโนโลยี  (วท.ม.) เทคโนโนโลยีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คุณกำลังตัดสินใจถึงก้าวต่อไปในการสร้างอนาคตของคุณหรือเปล่า?

นวัตกรรมและการประกอบการธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพอาจเป็นคำตอบที่ลงตัวสำหรับคุณ ก็ได้

หนึ่งในความสุดยอดของการท้าทายสำหรับนักวิจัยทางชีวภาพก็ คือ การพัฒนานวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์จากการคิดค้นไปสู่ธุรกิจที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำหรือค้นหาคำตอบทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้หายจากความทุกข์ทรมาน ในอดิตที่ผ่านไป “ก้าวแรก” ที่ผิดพลาดของบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพได้ฟันฝ่าไปแล้วนั้นเปรียบเสมือน “หุบเขาแห่งความตาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการที่ขาดประสบการณ์และความแจนจัดที่จำเป็นต่อการปรับเปลี่ยนแนวความคิดให้ ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมต่อการบริโภคของกลุ่มเป้าหมาย อันเป็นผลทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมองข้ามการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพอีกต่อไป นี่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นอุปสรรคต่อนักวิจัยที่ต้องการพัฒนานวัตกรรมของตนไปสู่ภาคธุรกิจ ในโลกแห่งความเป็นจริงธุรกิจด้านชีวภาพไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการสร้างผลิตภัณฑ์โดยการใช้เทคโนโลยีการตัดต่อยีนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบที่ได้สร้างรายได้สูงสุดให้กับประเทศไทยมาเป็นเวลานาน อันได้แก่ ข้าว ยาง มันสำปะหลัง ข้าวโพด น้ำมันปาล์ม อ้อย และผลไม้ต่างๆ

มีการพยายามสั่งสมทรัพยากรและบุคลากรเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นเลิศทั้งทางด้านธุรกิจชีวภาพและความรอบรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาด หนึ่งในผลงานของทางคณะฯ ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร คือ การผลิตนมข้าว จากการจดสิทธิบัตรครั้งนั้นทางคณะฯ ได้สานต่อการค้นคว้าจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ เช่น ไอศครีมนมข้าว โยเกิร์ตนมข้าว ไอศครีมโยเกิร์ตจากนมข้าว สบู่นมข้าว และเครื่องสำอางนมข้าว เป็นต้น

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ จึงได้พัฒนาผู้ประกอบการทางชีวภาพสากล ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการชีวภาพรายใหม่สามารถพัฒนาการค้นพบทางวิทยาศาสตร์จากห้องสมุด และภาคการทดลองมุ่งสู่ภาคธุรกิจด้วยคณาจารย์และผู้สอนที่มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ระดับโลกจากทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา

อนึ่ง ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ ได้ทำให้ผู้ประกอบการทางด้านนี้สามารถสร้างรายได้มากกว่าอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศถึง 25 เท่า โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากเทคโนโลยีชีวภาพแบบดั้งเดิม และรายได้ทั้งหมดนี้ยังได้กระจายไปสู้ประชากรอย่างทั่งถึงอีกด้วย

Bioentrepreneurship คือ ?

คำว่า “Bioentrepreneurship” ถือเป็นคำที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับประเทศทั่วโลก นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของการเป็นผู้ประกอบการทางชีวภาพ ในสหรัฐอเมริกาผู้ประกอบการทางชีวภาพถือกำเนิดมานานกว่า 3 ทศวรรษ ก่อนที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศอย่างไมโครซอฟท์ ซัน และซิสโก้จะถูกก่อตั้งขึ้น บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพอย่าง Genentech และ Amgen ได้ขยายแผนการวิจัยเชิงแข่งขันและร่วมมือกับบริษัทยามาแล้ว

ในปี 1996 Persidis เปรียบเทียบ “Bioentrepreneurship” ว่าเป็นการสร้างความมั่งคั่งซึ่งได้มาจากการประยุกต์วิทยาศาสตร์ชีวภาพสู่ภาคธุรกิจ

ผู้ประกอบการด้านชีวภาพได้พยายามแสวงหาและสร้างตุณค่าทางธุรกิจจากผลงานการวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ

ทำไมต้อง Bioentrepreneurship ?

จุดมุ่งหมายของการศึกษาด้านการประกอบการ คือ การปลูกฝังนิสัยให้เยาวชนรุ่นใหม่เล็งเห็นถึงโอกาสต่างๆ และใช้มันให้เต็มศักยภาพ ผู้ประกอบการจะต้องใช้ความคิดในเชิงสร้างสรรใหม่ๆ การหา ลู่ทาง วิธีการ แนวทางและรูปแบบใหม่ๆ ที่สามารถทดสอบได้ ความเข้าใจในภาษาที่พูดในเชิงธุรกิจและมุมมองของนักบริหารที่มีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่ง อาชีพ หรือการงานที่แต่ละบุคคลเลือก

 

การที่ประเทศชาติจะมีความมั่งคั่งและประชากรจะอยุ่ดีกินดีแค่ไหนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รางวัลโนเบลมากน้อยแค่ไหน แต่มันขึ้นอยุ่กับว่าเราได้สร้างผู้ประกอบการที่มีคุณธรรมและมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีที่มีผู้สร้างเพิ่มขึ้นทุกวันมาใช้ในในเชิงธุรกิจเพื่อหารายให้กับประเทศ อยู่มากน้อยเพียงใดต่างหาก

(ข้อมูลจาก Dr. Churdchai Cheowtirakul)

ภายหลังการจัดการความรู้ครั้งนี้ ทำให้อาจารย์ภายในคณะวิทยาศาสตร์ร่วมกันพัฒนาข้อเสนอโครงการส่ง วช. ชื่อโครงการ การพัฒนาแป้งข้าวก่ำดัดแปรและการประยุกต์ใช้เพื่อผลิตเป็นอาหารสุขภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าข้าวไทย ซึ่งขณะนี้ยังรอผลการพิจารณาโครงการต่อไป

20504220_1601602376519384_899853063_n

19553893_1565089700170652_3738292315527326148_n

โพสท์ใน ทั่วไป | ติดป้ายกำกับ | ใส่ความเห็น

การพัฒนาแนวทางการสร้างผลงานวิจัยในชุมชนสำหรับอาจารย์ใหม่

เรื่อง การพัฒนาแนวทางการสร้างผลงานวิจัยในชุมชนสำหรับอาจารย์ใหม่

โดย อาจารย์ ธณกฤษ หมื่นก้อนแก้ว และ รศ.ดร.สุดารัตน์ สิทธิสมบัติ**

Tacit Knowledge**วิทยากรผู้สอนหลักสูตรการพัฒนานักศึกวิจัยหน้าใหม่ในชุมชน โครงการลูกไก่ แม่ไก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิทยากรผู้สอนหลักสูตรการพัฒนานักศึกวิจัยหน้าใหม่ในชุมชน โครงการลูกไก่ แม่ไก่ ในการทำ KM และการสร้างผลงานวิจัยในชุมชน

เรียบเรียงโดย: คณาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเนชั่น

เป้าหมาย/ผู้ร่วมกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Desired State): อาจารย์ประจำสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพและผู้สนใจ

เนื้อหา (Content) : การทำวิจัยในชุมชนเป็นงานวิจัยที่มีการทำงานในเชิงของการมีส่วนร่วมกับชุมชนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเน้นการให้ชุมชนเป็นผู้ดำเนินการวิจัยด้วยตนเองเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากการทำงานวิจัย นำไปดำเนินงานในการพัฒนาชุมชนของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถพึ่งพิงตนเองได้เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการวิจัย ซึ่งการทำงานวิจัยในชุมชนมีรูปแบบของการทำวิจัยที่หลากหลาย เช่น การทำวิจัยเชิงพรรณนา การทำวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ การทำวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นต้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้วการทำวิจัยในชุมชนจะใช้รูปแบบของการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นหลัก และอาจมีการรูปแบบของการวิจัยเชิงปริมาณร่วมด้วย ดังนั้นผู้ที่ทำวิจัยจึงต้องมีทักษะ และเข้าใจในวิธีการ และกระบวนการในการทำวิจัยในชุมชนให้ถูกต้อง และเหมาะสมเสียก่อน ซึ่งอาจจะถูกพัฒนาทักษะในแนวทางต่างๆ ประกอบด้วย

– การส่งอาจารย์หน้าใหม่ไปพัฒนาความรู้ และทักษะการทำงานวิจัยในชุมชน จากหน่วยงาน องค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในการทำงานด้านนี้ โดยเฉพาะ รวมถึงให้หน่วยงานดังกล่าวเป็นที่ปรึกษาในการทำงานวิจัยในชุมชน และเป็นแหล่งงบประมาณในการสนับสนุนการทำงานด้วย เพื่อที่จะทำให้อาจารย์ได้รับการพัฒนาทักษะ และประสบการณ์ผ่านการทำงานวิจัยได้อย่างถูกต้อง และมีคุณภาพมากที่สุด

– การพัฒนาอาจารย์หน้าใหม่ในการทำวิจัยในชุมชน โดยการสรรหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในการทำวิจัยในชุมชนมาเป็นที่ปรึกษาในการทำงานวิจัย และแนะนำกระบวนการทำงานวิจัยในชุมชนให้แก่อาจารย์ รวมถึงการของบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกที่สนับสนุนทุนวิจัย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และสามารถดำเนินงานวิจัยในชุมชุนได้อย่างเหมาะสม โดยมีผู้ให้คำปรึกษาในการทำงานที่ดี ซึ่งจะทำให้อาจารย์ได้รับการพัฒนาประสบการณ์ในการทำวิจัยที่ดีร่วมด้วย

– การพัฒนาอาจารย์หน้าใหม่ในการทำวิจัย โดยการให้อาจารย์หน้าใหม่มาเป็นผู้ร่วมวิจัย และถ่ายทอดวิธีการ และกระบวนการทำวิจัย ผ่านการทำงานวิจัย ซึ่งอาจารย์หน้าใหม่จะได้เรียนรู้ขั้นตอนต่างๆ ของการทำงานจากคณะผู้ดำเนินงานวิจัย ทั้งนี้งานวิจัยที่ร่วมดำเนินการจะต้องมีขนาดของงานวิจัยที่หลากหลาย และที่สำคัญต้องเป็นงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง และมีกระบวนการวิจัยที่ถูกต้อง เพื่อให้อาจารย์หน้าใหม่ได้เรียนรู้ และได้พัฒนาทักษะการทำงานวิจัยในชุมชนอย่างเหมาะสม และนำไปใช้ในการสร้างสรรค์งานวิจัยในชุมชนด้วยตนเองได้ต่อไป

** ข้อควรระวังคือ งานวิจัยในชุมชน เป็นงานที่ทำงานร่วมกับชุมชนเป็นหลัก ดังนั้นผู้ทำการวิจัยควรมีทักษะในการเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับบริบทของชุมชน วัฒนธรรมชุมชน กิจกรรมต่างๆ ของชุมชน รวมถึงผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญในชุมชนนั้นๆ เป็นอย่างดีเสียก่อน อีกทั้งต้องชี้แจงวิธีการ ประโยชน์ และการนำผลที่ได้จากการทำงานวิจัยไปใช้ให้ชุมชนได้เข้าใจ ซึ่งจะทำให้การทำงานวิจัยดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพต้องเป้าหมายของการทำงานวิจัยนั้นๆ

ซึ่งจากการดำเนินงานด้านการจัดการความรู้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาอาจารย์ใหม่ โดยส่งเสริมอาจารย์สร้างงานวิจัยในชุมชน เพื่อขอรับทุนสนับสนุนการวิจัย และมีอาจารย์ในคณะ 1 ท่าน คือ อาจารย์นิภรดา ยาวิราช ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ในงานวิจัย เรื่องการพัฒนาชุมชนต้นแบบการบริหารจัดการตนเองจังหวัดลำปาง

โพสท์ใน คณะสาธารณสุขศาสตร์ | ติดป้ายกำกับ | ใส่ความเห็น

การพัฒนาแนวทางการนิเทศงานวิชาฝึกประสบการณ์สร้างเสริมวิชาชีพสาธารณสุข สำหรับอาจารย์ใหม่

ผลการดำเนินงานการจัดการความรู้ (KM) : ประเด็นการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน

เรื่อง การพัฒนาแนวทางการนิเทศงานวิชาฝึกประสบการณ์สร้างเสริมวิชาชีพสาธารณสุขสำหรับอาจารย์ใหม่

โดย อาจารย์ ดิลกา ไตรไพบูลย์**

เรียบเรียงโดย: คณาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเนชั่น

เป้าหมาย/ผู้ร่วมกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Desired State): อาจารย์นิเทศงานใหม่ประจำสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ

เนื้อหา (Content) : กระบวนการนิเทศงานนักศึกษาเป็นกระบวนการหนึ่งที่มีลักษณะการดำเนินงาน ที่ใช้ในการกำกับ ติดตาม ให้คำแนะนำ การวัดผล และประเมินผลผู้ฝึกปฏิบัติ หรือนักศึกษา โดยให้ผู้มีความรู้และประสบการณ์ อันประกอบด้วย อาจารย์ ครูพี่เลี้ยง รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในสถานที่ฝึกปฏิบัติงาน เป็นผู้ใช้กระบวนการดังกล่าว สำหรับการประเมินองค์ความรู้ ทักษะ รวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้จากศาสตร์และศิลป์ที่ได้เรียนรู้มาของนักศึกษา เพื่อให้ได้มาซึ่งบัณฑิตที่มีคุณภาพ และสามารถนำองค์ความรู้ หรือทักษะที่ได้จากการเรียนและการฝึกปฏิบัติงาน มาใช้ในการทำงานในสาขาวิชาชีพนั้นได้อย่างเต็มความสามารถ การนำกระบวนการนิเทศงานมาใช้งาน ผู้นิเทศจึงต้องมีความเข้าใจในวิธีการดำเนินการเป็นอย่างมาก เนื่องจากหากดำเนินงานตามกระบวนการไม่ถูกต้อง หรือเหมาะสมแล้ว อาจทำให้นักศึกษา หรือผู้ฝึกปฏิบัติ มีคุณภาพ และความสามารถในการทำงานในสาขาวิชาชีพนั้นได้อย่างไม่เต็มความสามารถเท่าที่ควร ซึ่งรูปแบบของการนิเทศงานในสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์จะจำแนกออกเป็น ระดับต่างๆ อันประกอบด้วย

– ระดับที่ 1 การนิเทศงานที่เน้นการนำองค์ความรู้ และทักษะในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ และการสุขาภิบาลมาใช้ในการส่งเสริมสุขภาพของกลุ่มคนไม่มีความเจ็บป่วย ให้มีสุขภาพดียิ่งขึ้น ตั้งแต่ระดับบุคคล ระดับครอบครัว และระดับชุมชน

– ระดับที่ 2 การนิเทศงานที่เน้นการนำองค์ความรู้ และทักษะการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการป้องกันควบคุมโรค อันได้แก่ การป้องกันควบคุมโรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ การป้องกันควบคุมงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และการป้องกันควบคุมงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ให้มีสุขภาพที่ดี ตั้งแต่ระดับบุคคล ระดับครอบครัว และระดับชุมชน

– ระดับที่ 3 การนิเทศงานที่เน้นการนำองค์ความรู้ และทักษะการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการรักษา และการฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยจากโรค ในกลุ่มคนที่มีความเจ็บป่วย ให้มีสุขภาพดีขึ้น ตั้งแต่ระดับบุคคล ระดับครอบครัว และระดับชุมชน

ทั้งนี้ ข้อควรระวังในการนำรูปแบบการนิเทศงานทั้ง 3 ระดับมาใช้ในการดำเนินงานนั้น ผู้นิเทศงานต้องสามารถจำแนกระดับของบุคคล ครอบครัว และชุมชน ได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ในการนิเทศระดับใด เพื่อเป็นการป้องกันการผิดพลาดในการใช้กระบวนการนิเทศงาน ที่ไม่ถูกต้องกับระดับการฝึกปฏิบัติ

ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการจัดการความรู้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำเป็นคู่มือสำหรับการฝึกปฏิบัติงานวิชาชีพสาธารณสุขศาสตร์สำหรับนักศึกษาเป็นระดับต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้อาจารย์ที่นิเทศงานสามารถดำเนินการนิเทศได้อย่างถูกต้อง และมีคุณภาพต่อการจัดการเรียนการสอน

 

โพสท์ใน คณะสาธารณสุขศาสตร์ | ติดป้ายกำกับ | ใส่ความเห็น